วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ความรักคืออะไร



ความรักคืออะไร


ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของคำว่า “รัก” ไว้ว่า “รัก” เป็นคำกริยา หมายถึง มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย เช่น พ่อแม่รักลูก รักชาติ รักชื่อเสียง, มีใจผูกพันด้วยความเสน่หา, มีใจผูกพันฉันชู้สาว, เช่น ชายรักหญิง, ชอบ เช่น รักสนุก รักสงบ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า ”รัก” มีความหมายซับซ้อนกว่าที่ได้มีการอธิบายในพจนานุกรมมากมายนัก นักปรัชญาหลายๆท่านได้ให้นิยามความรักไว้แตกต่างกันไปดังนี้

กิลเบอร์ท นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า “ความรัก คือ สวนดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตา” (ฟังดูน่ารันทดเสียจริง ฟังแล้วอยากหนีห่างจากความรักให้ไกลๆเลยเชียว)

คาลิล ยิบราน นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก กล่าวว่า “ความรัก คือ ดอกไม้ที่เติบโตและเบ่งบานโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของฤดูกาล” (อันนี้ฟังดูสวยงาม เชิญชวนให้คนอยากมีความรัก)

ท่านพุทธทาสภิกขุ (พระผู้ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นนักปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา) ได้กล่าวไว้ว่า “ความรัก คือ ความใจกว้างเห็นแก่ผู้อื่นจนไม่มีตัวตนเหลืออยู่” (อันนี้เป็นคำนิยามความรักในเชิงธรรมะ)

พระราชนิพนธ์เรื่อง “มัทนะพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖)

กล่าวถึงความรักว่า “ความรักเหมือนโรคา บันดาลให้ตามืดมล ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดๆ ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย”

จะเห็นได้ว่า แค่คำว่า “ความรัก” เพียงคำเดียวก็ถูกตีความโดยผู้คนทั่วโลกไปได้มากมายหลายรูปแบบ แสดงให้เห็นว่า ความรักเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ที่รวมความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ ทั้งสุข เศร้า เหงา สดใส เสียสละ โกรธแค้น สงบเย็น ร้อนรุ่น และอื่นๆอีกมากมาย…ดูเหมือนว่า ชีวิตเราทุกคนต่างหมุนไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆนั่นเอง

แม้แต่การเปรียบเทียบในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีการเปรียบเทียบความรักด้วยดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งมีทั้งความสวยงาม เย้ายวนใจให้หลงในเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหนามแหลมคม ซึ่งอาจทำร้ายให้ผู้ครอบครองต้องเสียเลือดเมื่อพลั้งเผลอได้เช่นกัน เปรียบเหมือนความรัก ที่แม้คนเราจะรู้ว่าความรักมาคู่กับความทุกข์ แต่ก็อดใจในเสน่ห์อันเย้ายวนของความรักไม่ได้ ต้องยอมเสี่ยงกับการบาดเจ็บทางใจ เพื่อให้ได้ความรักมาครอบครอง

นิยามความรักในพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนามีคำสอนเกี่ยวกับความรักอยู่มากมาย จะได้รับการเปรียบเทียบว่า พระพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งความรัก สิ่งที่น่าสนใจคือพระพุทธเจ้ามิได้ทรงนิยามความรักด้วยคำบาลีคำใดคำหนึ่ง แต่พระองค์ได้ทรงให้คำนิยามเกี่ยวกับความรักไว้มากมาย ดังนี้

ความรักคือความใคร่ (กามะ),

ความรักคือความกำหนัดยินดี (ราคะ),

ความรักคือความทะยานอยาก (ตัณหา),

ความรักคือความรักใคร่เยื่อใย (สิเนหะ คำไทยเรียกว่าเสน่หา),

ความรักคือความเพลิดเพลิน (นันทิ),

ความรักคือความอยาก (อิจฉา),

ความรักคือความผูกพัน (ปฏิพัทธา),

ความรักคือความปรารถนา (ปัตถนา),

ความรักคือความอยากได้ (โลภะ),

ความรักคือความพอใจ (ฉันทะ),

ความรักคืออารมณ์ที่น่ารักน่าใคร่ (เปมะ)

ความรักคือความรักปรารถนาให้คนอื่นสัตว์อื่นมีความสุข (เมตตา),

ความรักคือความสงสาร ต้องการให้พ้นจากความทุกข์ (กรุณา),

เป็นต้น

อาจจะมีคนสงสัยว่า ทำไมท่านต้องให้ความหมายกับคำว่าความรักไว้มากมายขนาดนี้ ประเด็นนี้พันเอกปิ่น มุทุกันต์ ได้ให้ความเห็นว่า “เนื่องจากความรักเป็นอาการของจิต ความรักจึงมีการเปลี่ยนแปลงกลับกลอกยอกย้อนมากมาย ถึงกับพระพุทธเจ้าต้องตั้งชื่อดักเอาไว้เยอะๆ เพื่อใช้เรียกอาการที่ความรักจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะต่างๆ เพราะลำพังสัตว์หลายชื่อ คนหลายชื่อ หรือสิ่งของหลายชื่อก็ยุ่งพอแล้ว ทีนี้ความรักไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ แต่เกิดมีหลายชื่อมันก็ยุ่งกว่าพวกนั้นหลายร้อยเท่าพันเท่า”

ประเภทความรักในพระพุทธศาสนา

ด้วยเหตุที่คำว่าความรักมีความซับซ้อน และละเอียดมาก ในทางพระพุทธศาสนาจึงมีการแบ่งความรักเป็นลำดับขั้นดังนี้คือ

ความรักฝ่ายอกุศล หรือ ความรักตนเอง

เป็นอาการหรือธรรมชาติในด้านมืดของความรัก เป็นความรักฝ่ายกิเลส ที่จะทำให้จิตใจผู้ที่รักและคนที่ถูกรักตกต่ำลง เรียกความรักกลุ่มนี้ว่า “ความเสน่หา” (สิเนหะ) หรือ “ตัณหา” อธิบายง่ายๆได้ว่า “ความรักที่จะเอา” คือ เอาความรัก ความสุข และทุกอย่างมาที่ตนเองเป็นสำคัญ (ความเห็นแก่ตัว)

ความรักฝ่ายกลาง (อัพยากตะ)

เป็นความรักที่สูงกว่าความรักฝ่ายอกุศล ความรักฝ่ายนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความดีและความชั่ว สามารถถูกความชั่วดึงไปก็ได้ ถูกความดีดึงออกไปก็ได้ จึงอยู่ระหว่างความรักแบบเสน่หาและเมตตาหรือคุณธรรม เรียกความรักแบบนี้ว่า “เปม” (เป-มะ) เป็นความรักในครอบครัว ความรักที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในครอบครัว

ความรักฝ่ายกุศล หรือ ความรักผู้อื่น

เป็นความรักในระดับที่สูงกว่าความรักอีกสองระดับแรก ความรักประเภทนี้เป็นความดีงามที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เรียกว่า “เมตตา”

ความรักฝ่ายกุศลสูงสุด หรือ ความรักผู้อื่นโดยไม่มีประมาณ

เป็นความรักในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ผู้ที่มีความรักประเภทนี้จิตใจจะสะอาดบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นจนสามารถควบคุม อำนาจฝ่ายอกุศลได้ จึงเป็นความรักขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “กุศลฉันทะ” หรือ “ฉันทะ”

สรุปลำดับขั้นความรักในพระพุทธศาสนาได้เป็น 4 ขั้นง่ายๆดังนี้

สเน่หา, ตัณหา – ความรักตัวเอง

เปม – ความรักครอบครัว

เมตตา – ความรักคนรอบข้าง

ฉันทะ – ความรักในความต้องการการหลุดพ้นจากกิเลส

บ่อเกิดของความรัก ในพระพุทธศาสนา

พุทธศาสนาได้มีการกล่าวถึงบ่อเกิดของความรักไว้ ดังพุทธภาษิตว่า

“ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา

เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํ ว ยโถทเก”

แปลว่า ความรัก ย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการคือ

เพราะอยู่ร่วมกันในปางก่อน ๑ เพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑

ความรักเกิดเพราะอยู่ร่วมกันในปางก่อน

เรียกว่า บุพเพสันนิวาส คือการได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ ได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตรงตามกัน มีความเห็นสอดคล้องเหมือนกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เป็นเหตุส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน บุพเพสันนิวาสบางครั้งอาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้

ความรักเกิดเพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน

ในกรณีซึ่งไม่ใช่บุพเพสันนิวาส แต่อาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมกัน อาศัยความช่วยเหลือกัน เห็นอกเห็นใจกันในปัจจุบัน จะส่งผลให้เป็นเนื้อคู่กันในปัจจุบันและในอนาคตต่อไป

หลักธรรมะเกี่ยวกับความรัก

แม้เป้าหมายหลักของพระพุทธศาสนาคือการเดินทางไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ระหว่างทางเดินนี้ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล้วนยังต้องวนเวียนอยู่กับความรัก เพื่อไม่ให้หลงใหลไปในวังวนแห่งความรัก และต้องบาดเจ็บจากการรักอย่างไม่ถูกต้อง พระพุทธศาสนาจึงมีหลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับความรักในระดับต่างๆให้นำไปปรับใช้กันได้ดังนี้

หลักธรรมสำหรับการรักตัวเอง

คนเราทุกคนย่อมรักตัวเอง ไม่มีใครอยากให้ตัวเองต้องเจ็บป่วย ลำบาก หรือประสบพบเคราะห์ร้ายใดๆ มีคำกล่าวไว้ว่า หากเราไม่รู้จักรักตัวเองก่อน เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความรักในขั้นแรกคือการรักตัวเองอย่างถูกต้อง

พระพุทธศาสนามีหลักธรรมเบื้องต้นสำหรับทุกคนคือหลัก เบญจศีล เบญจธรรม แม้จะไม่สนใจการปฏิบัติภาวนาใดๆ แต่ก็ไม่ควรละทิ้งหลักเบญจศีล เบญจธรรม ซึ่งเป็นหลักธรรมง่ายๆในการดำรงชีวิต อันจะนำมาซึ่งชีวิตที่เป็นปกติสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ห่างไกลภัยอันตรายต่างๆดังที่ทุกคนปรารถนานั่นเอง



สรุปสั้นๆ ความรักในพระพุทธศาสนา

ความรักตัวเอง —–> ต้องมีเบญจศีล เบญจธรรม

ความรักคนรอบข้าง —–> ต้องปฏิบัติตามหลักทิศ 6

ความรักผู้อื่นแบบไม่มีประมาณ —–> ต้องใช้หลักเมตตา และเมตตาอัปปมัญญา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อนันตริยกรรม

อนันตริยกรรม สารานุกรมเสรีอนันตริยกรรม หมายถึง กรรม หนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี 5 อย่าง คือ มาตุฆาต - ฆ่ามารดา ปิตุ...