วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วันมาฆบูชา

ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป


โอวาทปาฏิโมกข์

โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),

คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)


สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

แปล :

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง,

พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม,

ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,

ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ


การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์,

ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า 
"ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"



คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ


๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ


การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำถวายดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดินเวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้เป็นอันเสร็จพิธี



กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

๑. ทำบุญใส่บาตร
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม และฟังพระธรรมเทศนา
๓. ไปเวียนเทียนที่วัด
๔. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คำโบราณ ๓๘ อย่าง บอกว่า...อย่า ก็อย่าไปทำ


อย่า ๓๘ อย่าง

คำโบราณ ๓๘ อย่าง...ถึงจะโบราณแต่ก็ยังทันสมัย

1.) มะเดื่อ อย่าค้า
2.) ป่าช้า อย่าหนี
3.) ไม่ดี อย่าทำ
4.) ไม่จำ อย่าสอน
5.) คนงอน อย่าง้อ
6.) คนล้อ อย่าเคือง
7.) กลัวเปลือง อย่าใช้
8.) ไม่ไป อย่าเข็น
9.) ไม่เล่น อย่าชวน
10.) ตีรวน อย่าหนี
11.) มีหนี้ อย่าเหนียว
12.) ควายเปลี่ยว อย่าปล่อย
13.) ใช้บ่อย อย่าบ่น
14.) ใจคน อย่าเชื่อ
15.) ลูกเสือ อย่าเลี้ยง
16.) เสบียง อย่าขาด
17.) ฉลาด อย่าโกง
18.) ไม้โค้ง อย่าดัด
19.) ปากจัด อย่าด่า
20.) ครูว่า อย่าเถียง
21.) บ้านเอียง อย่าขืน
22.) ไม่กลืน อย่าอม
23.) ยาขม อย่าคาย
24.) เสียดาย อย่าทิ้ง
25.) ไม่จริง อย่าพูด
26.) เหม็นบูด อย่ากิน
27.) คนกิน อย่ายุ
28.) คนดุ อย่าท้า
29.) คนบ้า อย่ายั่ว
30.) คนกลัว อย่าแหย่
31.) คนแก่ อย่าเบียด
32.) คนเกลียด อย่าใกล้
33.) หมั่นใส้ อย่ามอง
34.) จองหอง อย่าคบ
35.) ไม่พบ อย่าหา
36.) หมูหมา อย่าเหยียบ
37.) ได้เปรียบ อย่าหยิ่ง
38.) ผู้หญิง อย่าหลง

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ


ข้าพเจ้าของยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าบอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่เป็นที่พึ่ง
เมื่อใดแล เหล่ามนุษย์ผู้ถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
ได้เกิดความหวาดกลัว เกิดหัวใจสะดุ้งหวั่นไหว
เมื่อใดแล เหล่ามนุษย์ผู้ถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
ได้เกิดความหวาดกลัว หรือว่า เกิดหัวใจสะดุ้งหวั่นไหว
เมื่อนั้นขอให้ท่านเปล่งคำว่า "พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ"
เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"
พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ  สรณํ  คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
เมื่อใดแลเกิดความมัวเมา อันเป็นเหตุแห่งความไม่สงบวุ่นวาย
พื้นแผ่นดินไหลอาบนองแดงฉานไปด้วยเลือด เปลวไฟแห่งความมุ่งร้ายเบียดเบียน
แผดเผากระจายไป จิตใจของมวลหมู่มนุษย์กลับกลายไปเป็นดั่งเดรัจฉาน
มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  แต่ภายในแผดเผาเร่าร้อน
เมื่อนั้นขอให้ท่านเปล่งคำว่า "พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ"
เมื่อนั้นขอให้ท่านเปล่งคำว่า "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"
พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ  สรณํ  คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
เมื่อใดแล  ความรักเมตตาแห้งเหือดหายไปจากโลก
ความกรุณาสงสารก็แห้งเหือดหายไป
คนทั้งหลายเชือดเฉือนสายใยแห่งความรัก
ขอบทแห่งมนต์อันประเสริฐ  ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ของชาวภารตะ (อินเดีย)
แม้ของมารดาตนเอง เกิดผืนแผ่นดินเลื่อนลั่น ฟ้าสั่นไหว
เมื่อนั้นขอให้ท่านจงเปล่งคำว่า "พุทธํ  สรณํ  คจฺฉามิ"
ขอให้ท่าน จงหมั่นเปล่งคำว่า "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ" ไว้บ่อย ๆ เถิด
พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ  สรณํ  คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดแล

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คู่มือวาทะโฆษกงานยกช่อฟ้า ฝังลูกนิมิต งานวัดทั่วไป


บทสวดนพเคราะห์


สำหรับคนเกิดวันอาทิตย์
(สวด 6 จบ)

อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง
ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง
เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตตะวา โมโร จะระติ เอสะนาฯ
อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐิวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง
เย พราหมะณา เททะคุ สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตตะวา โมโร วาสะมะกัปปะยีติฯ

สำหรับคนเกิดวันจันทร์
(สวด 15 จบ)

ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ

สำหรับคนเกิดวันอังคาร
(สวด 8 จบ)

ยัสสานุภาวะโต ยักขา เนวะ ทัสเสนติ ภิงสะนัง
ยัมหิ เจวานุยุญชันโต รัตตินทิวะมะตันทิโต
สุขัง สุปะติ สุโต จะ ปาปัง กิญจิ นะ ปัสสะติ
เอวะมาทิคุณู เปตตัง ปะริตตัง ตัมภะณามะ เหฯ

สำหรับคนเกิดวันพุทธกลางวัน
(สวด 17 จบ)

สัพพาสี วีสะชาตีนัง ทิพพะมันตาคะทัง วิยะ
ยันนาเสติ วิสัง โฆรัง เสสัญจาปิ ปะริสสะยัง
อาณักเขตตัมหิ สัพพัตถะ สัพพะทา สัพพะปาณินัง
สัพพะโสปิ นิวาเรติ ปะริตตันตัม ภะณามะ เหฯ

สำหรับคนเกิดวันพุธกลางคืน
(สวด 12 จบ)

กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ สุริยัง ปะมุญจะติ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐสีติ
สัตตะธา เม ผะเลมุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถา ภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเลมุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถา ภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ

สำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี
(สวด 19 จบ)

ปูเรนตัมโพธิสัมภาเร นิพพัตตัง โมระโยนิยัง
เยนะ สังวิหิตารักขัง มะหาสัตตัง วิเนจะรา
จิรัสสัง วายะมันตาปิ เนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง
พรัหมะมันตันติ อักขาตังปะริตตันตัม ภะณามะ เหฯ

สำหรับคนเกิดวันศุกร์
(สวด 21 จบ)

อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ สาสะเน สาธุสัมมะเต
อะมะนุสเสหิ จัณเฑหิ สะทากิพพิ สะการิกิ
ปะริสานัญจะตัสสันนะ มะหิงสายะ จะ คุตติยา
ยันเทเสสิ มะหาวีโร ปะริตตันตัม ภะณามะ เหฯ

สำหรับคนเกิดวันเสาร์
(สวด 10 จบ)

ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา
ชาโต นาภิชานามิ
สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ
สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ คัพภัสสะ


     อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระอาทิตย์สะเทวา  ขอเชิญพระอาทิตย์เสด็จลงมารักษาอายุพวกเรา ได้ ๖ ปี  มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี  ต้องลักษณ์  ต้องจันทร์  ต้องพระเคราะห์ตัวนอก
ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน

     อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระจันทร์สะเทวา  ขอเชิญพระจันทร์เสด็จลงมา  รักษาอายุพวกเรา
ได้ ๑๕ ปี  มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก
ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน


อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระอังคารสะเทวา
ขอเชิญพระอังคารเสด็จลงมา
รักษาอายุพวกเรา ได้ ๘ ปี
มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน


อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระพุธสะเทวา
ขอเชิญพระพุธเสด็จลงมา
รักษาอายุพวกเรา ได้ ๑๗ ปี
มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน


อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระพฤหัสสะเทวา
ขอเชิญพระพฤหัสเสด็จลงมา
รักษาอายุพวกเรา ได้ ๑๙ ปี
มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน


อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระศุกร์สะเทวา
ขอเชิญพระศุกร์เสด็จลงมา
รักษาอายุพวกเรา ได้ ๒๑ ปี
มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน


อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระเสาร์สะเทวา
ขอเชิญพระเสาร์เสด็จลงมา
รักษาอายุพวกเรา ได้ ๑๐ ปี
มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน


อิติปิ โส ภะคะวา ข้าฯ จะไหว้พระราหูสะเทวา
ขอเชิญพระราหูเสด็จลงมา
รักษาอายุพวกเรา ได้ ๑๒ ปี
มาเวียนรอบในราศีในเที่ยงคืนในราตรี ต้องลักษณ์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ตัวนอก ต้องพระเคราะห์ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวร้าย ต้องพระเคราะห์ตัวใดๆขอให้กลายเป็นดี เคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราะห์ปี เคราะห์วันขอให้เคลื่อน เคราะห์เดือนขอให้คลาย เคราะห์ปีขอให้หายเหมือนน้ำดับไฟหายไปทันที สารพัดทุกข์ สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัดเสนียดจัญไร ขออย่าให้มีภัย
ให้มีแต่ชัยมงคล พ้นโทษที่โทษาวิญญาณสัมปันโน

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กาลามสูตร

กาลามสูตร

กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
  1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
  2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
  3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
  4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
  5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
  6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
  7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
  8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
  9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
  10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น


สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ

ตัวอย่าง
  1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
  2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
  3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
  4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
  5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
  6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
  7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
  8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
  9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
  10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ภูมิของสัตว์ทั้ง 31 ภูมิ



ภูมิของสัตว์ทั้ง 31 ภูมิ


พรหมโลก

ปฐมฌานภูมิ 

1.พรหมปาริสัชชาภูมิ ผู้ได้สำเร็จปฐมฌานขั้นปริตตะคือขั้นสามัญ อายุขัย 1ใน3 แห่งมหากัป
2.พรหมปุโรหิตาภูมิ ผู้ได้สำเร็จปฐมฌานขั้นมัชฌิมะคือขั้นกลาง อายุขัย กึ่งมหากัป
3.มหาพรหมาภูมิ ผู้ได้สำเร็จปฐมฌานขั้นปณีตะคือขั้นสูงสุด อายุขัย 1 มหากัป


ทุติยฌานภูมิ 

4.ปริตตาภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จทุติยฌานขั้นปริตตะคือขั้นสามัญ อายุขัย 2 มหากัป
5.อัปปมาณาภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จทุติยฌานขั้นมัชฌิมะคือขั้นกลาง อายุขัย 4 มหากัป
6.อาภัสสราภูมิ ผู้ได้สำเร็จทุติยฌานขั้นปณีตะคือขั้นสูงสุด อายุขัย 8 มหากัป

ตติยฌานภูมิ

7.ปริตตสุภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จตติยฌานขั้นปริตตะคือขั้นสามัญ อายุขัย 16 มหากัป
8.อัปปมาณสุภาภูมิ ผู้ได้สำเร็จตติยฌานขั้นมัชฌิมะคือขั้นกลาง อายุขัย 32 มหากัป
9.สุภกิณหาภูมิ ผู้ได้สำเร็จตติยฌานขั้นปณีตะคือขั้นสูงสุด อายุขัย 64 มหากัป

จตุตถฌานภูมิ

10.เวหัปผลาภูมิ ผู้ได้สำเร็จจตุตถฌาน อายุขัย 500 มหากัป

11.อสัญญสัตตาภูมิ ผู้ได้สำเร็จจตุตถฌาน อายุขัย 500 มหากัป

สุทธาวาสพรหมภูมิ

12.อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี สัทธินทรีย์ อายุขัย 1000 มหากัป
13.อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี วิริยินทรีย์ อายุขัย 2000 มหากัป 
14.สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี สตินทรีย์ อายุขัย 4000 มหากัป
15.สุทัสสีสุธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี สมาธินทรีย์ อายุขัย 8000 มหากัป
16.อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลผู้มี ปัญญินทรีย์ อายุขัย 16000 มหากัป

อรูปพรหม

1.อากาสานัญจายตนภูมิ อายุขัย 20,000 มหากัป
2.วิญญาณัญจายตนภูมิ อายุขัย 40,000 มหากัป
3.อากิญจัญญายตนภูมิ อายุขัย 60,000 มหากัป
4.เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ อายุขัย 80,000 มหากัป

เทวภูมิ 6 ภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของกายทิพย์ ผู้เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยเบญจพิธกามคุณารมณ์

1.จาตุมหาราชิกาภูมิ 500ปีทิพย์ 9ล้านปีมนุษย์
2.ตาวติงสาห์ภูมิ 1,000ปีทิพย์ 3โกฏฏ์6ล้านปี 36ล้านปีมนุษย์
3.ยามาภูมิ 2,000ปีทิพย์ 14โกฏฏ์4ล้านปี 144ล้านปีมนุษย์
4.ดุสิตาภูมิ 4,000ปีทิพย์ 57โกฏฏ์6ล้านปี 576ล้านปีมนุษย์ 
5.นิมารตีภูมิ 8,000ปีทิพย์ 230โกฏฏ์4ล้านปี 2,304ล้านปีมนุษย์ 
6.ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ 16,000ปีทิพย์ 921โกฏฏ์6ล้านปี 9,216ล้านปีมนุษย์ 


มนุสสภูมิ คือ ภูมิที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูง

ติรัจฉานภูมิ คือ โลกของเหล่าสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุเพียง 3 ประการ

1.การกิน
2.การนอน
3.การเมถุนกิจ

สัตว์เดียรฉานทั้งหลายแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆมีจำนวน 4 ประเภท คือ

1.อปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทไม่มีเท้าคือไม่มีขา ซึ่งได้แก่ งู ปลา ไส้เดือน เป็นอาทิ
2.ทวิปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทมี 2 เท้า ซึ่งได้แก่ แร้ง กา นก ตะกรุม เป็ด ไก่ เป็นอาทิ
3.จตุปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทมีเท้า 4 เท้า ซึ่งได้แก่ หมี หมา ช้าง ม้า วัว ควาย เสือ กวาง เป็นอาทิ
4. พหุปปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทมีเท้ามากกว่า 4 เท้าขึ้นไป ซึ่งได้แก่ กิ้งกือ ตะเข็บ ตะขาบ เป็นอาทิ


เปตติวิสยภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ที่ห่างไกลจากความสุขสบาย

เปรตที่อาศัยอยู่ ที่เชิงภูเขาหิมาลัยในป่าแห่งหนึ่ง ชื่อว่า วิชฌาฏวี มี ๑๒ จำพวก คือ

๑. วันตาสเปรต เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ และอาเจียน เป็นอาหาร 
๒. กุณปาสเปรต เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์ เป็นอาหาร 
๓. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร 
๔. อัคคิชาลมุขเปรต เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ 
๕. สูจิมุขเปรต เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม 
๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียน ให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ 
๗. สุนิชฌามกเปรต เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่เผา 
๘. สัตถังคเปรต เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด 
๙. ปัพพตังคเปรต เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา 
๑๐. อชครังคเปรต เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม 
๑๑. เวมานิกเปรต เปรตที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน 
๑๒. มหิทธิกเปรต เปรตที่มีฤทธิ์มาก 


เปรต กลุ่มที่2

๑. อัฏฐิสังขสิก เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ แต่ไม่มีเนื้อ 
๒. มังสเปสิก เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้น ๆ แต่ไม่มีกระดูก 
๓. มังสปิณฑ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน 
๔. นิจฉวิริส เปรตที่ไม่มีหนัง 
๕. อสิโลม เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์ 
๖. สัตติโลม เปรตที่มีขนเป็นหอก 
๗. อุสุโลม เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู 
๘. สูจิโลม เปรตที่มีขนเป็นเข็ม 
๙. ทุติยสูจิโลม เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒ 
๑๐. กุมภัณฑ เปรตที่มีลูกอัณฑะใหญ่โตมาก 
๑๑. คูถกูปนิมุคค เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ 
๑๒. คูถขาทกเปรตสเปรต เปรตที่กินอุจจาระ 
๑๓. นิจฉวิตก เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง 
๑๔. ทุคคุนธ เปรตที่มีกลิ่นเหม็น 
๑๕. โอคิลินี เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ 
๑๖. อสีส เปรตที่ไม่มีศีรษะ 
๑๗. ภิกขุ เปรตที่มีรูปร่างเหมือนพระ 
๑๘. ภิกขุณี เปรตที่มีรูปร่างเหมือนภิกษุณี 
๑๙. สิกขมาน เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสิกขมานา 
๒๐.สามเณร เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณร 
๒๑.สามเณรี เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณรี 


อสุรกายภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์อันปราศจากความแช่มชื่นรื่นเริง


อสุรกายภูมิ แบ่งออกเป็น ๓ พวกใหญ่ ๆ คือ 

๑. เทวอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็น เทวดา 
๒. เปติอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นพวก เปรต 
๓. นิรยอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นสัตว์นรก 

เทวอสุรกาย คือ อสุรกายจำพวกเทวดา บางพวกก็พอจะมีความสุขอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีความสุข 

*เทวอสุรกาย มีอยู่ ๖ พวกด้วยกัน คือ 

๑. เวปจิตติอสุรกาย 
๒. ราหุอสุรกาย 
๓. สุพลิอสุรกาย 
๔. ปหารอสุรกาย 
๕. สัมพรตีอสุรกาย 

อสุรกาย ๕ พวกนี้ อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ เป็นศัตรูกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีเรื่องเล่าว่า เดิมเคยอยู่บนชั้นดาวดึงส์ สมัยเมื่อมาฆะมานพ และบริวาร ๓๒ คน ขึ้นไป

เกิดเป็นพระอินทร์พร้อมกับบริวาร ๓๒ คน(รวมกันเป็น ๓๓ ดาวดึงส์ แปลว่า ๓๓) ได้มีการฉลองกันเป็นการใหญ่ เมื่ออสุรกาย ๕ พวกนี้เมาสุราได้ที่ 

จึงถูกพวกพระอินทร์และบริวาร โยนลงจากยอดเขาสิเนรุ มาอยู่ใต้เขาสิเนรุจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำให้อสุรกาย ๕ พวกนี้ แค้นเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก 

และได้เคยยกพวกขึ้นเขาสิเนรุ ไปตีกับเทวดาชั้นดาวดึงส์หลายครั้ง บางครั้งก็ชนะบางครั้งก็แพ้ ซึ่งมีเรื่องเล่ายาวพอสมควร 

๖. วินิปาติกอสุรกาย 

เป็นพวกที่มีรูปร่างเล็ก มีอำนาจน้อยกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ อาศัยอยู่ในมนุษยโลกนี้ จะอยู่ตามป่า ตามเขา ตามต้นไม้ และตามศาลที่เขาปลูกไว้ เป็นบริวารของภุมมัฏฐเทวดา จัดสงเคราะห์เข้าในพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา 



*เปรตอสุรกาย คือ อสุรกายชนิดที่เป็นเปรต ซึ่งมีความเป็นอยู่ยากลำบากกว่าพวกอสุรกาย ที่เป็นเทวดา มีรูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว 

เปรตอสุรกาย แบ่งได้เป็น ๓ ชนิด คือ 

๑. กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย 

เป็นพวกที่มีรูปร่างกายใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง มีเลือดฝาดน้อย มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาโปนออกมาเหมือนตาปู มีปากเล็กเท่ารูเข็มอยู่บนกลางศีรษะ หิวน้ำอยู่ตลอดเวลา เดินหาน้ำอยู่ตามลำธารน้ำไหลกลางป่า ทั้ง ๆ ที่เดินท่องอยู่บนลำธารน้ำไหล แต่กลับมองเห็นน้ำที่ไหลมา ขาวเหมือนหินอ่อน ได้ยินเสียงน้ำไหลแต่มองไม่เห็นน้ำ เพราะกรรมบันดาลให้มองไม่เห็นน้ำ กินน้ำก็ไม่รู้จักอิ่ม เพราะปากเล็กเท่ารูเข็ม พระธุดงค์พบเข้าแม้จะช่วยกันกรอกน้ำใส่ปาก น้ำก็ไหลออกหมด เพราะเล็กเท่ารูเข็มเท่านั้น จึงต้องหิวโหยอยู่ตลอดเวลา 

๒. เวมานิกเปรตอสุรกาย 

เป็นเปรตชนิดที่เสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่เสวยสุข ในเวลากลางคืนเหมือนกับความสุขของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ เพราะทำบุญกับบาปพร้อมกันไป เหมือนกับการฆ่าไก่ เพื่อถวายเป็นอาหารแก่พระธุดงค์ หรือการได้ทรัพย์มาโดยทางทุจริต แต่ก็นำเอาทรัพย์นั้น มาทำบุญใส่บาตรอีกต่อหนึ่ง 

๓. อาวุธกเปรตอสุรกาย 

เป็นเปรตชนิดที่ต้องประหัตประหารกันด้วยอาวุธ มีแต่ความไม่พอใจซึ่งกันและกันตลอดเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับ เทวดาชั้นดาวดึงส์ ที่มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน พวกนักเลงหัวไม้ หรืออันธพาลที่ชอบว่าจ้าง ให้ทำร้ายร่างกายหรือประหัตประหารผู้อื่น เมื่อสิ้นชีวิตลงจะต้องไปเสวยทุกข์ในนรก เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็ต้องมาเสวย ทุกข์ทรมานด้วยการเป็นเปรตประเภทนี้อีก 



*นิรยอสุรกาย เป็นสัตว์จำพวกเดียวกัน ที่เกาะอยู่ตามขอบจักรวาลที่มืดมิด มีลักษณะเหมือนค้างคาว มีความหิวกระหายเป็นกำลัง เกาะไปพลาง ไต่ไปพลาง พอไปพบพวกเดียวกัน จะโผเข้าหากันเพื่อกินเป็นอาหาร ก็จะพลัดตกไปในน้ำกรดข้างล่าง ละลายหายไปทันที แล้วเกิดขึ้นมาใหม่ ตกตายไปอีกวนเวียนเช่นนี้ จนกว่าจะหมดกรรม 

โดยสรุปแล้ว ในอสุรกายภูมินี้ ถ้าจะสงเคราะห์แล้วก็ จัดสงเคราะห์เข้าในเปรตภูมิ แต่พวกที่มีความเป็นอยู่เป็นพิเศษ ที่เป็นปฏิปักษ์ หรือเป็นศัตรูกับเทวดาชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เรียกว่า อสุรกาย 


นิรยภูมิ ภูมิที่ปราศจากความสุขสบายโดยชิ้นเชิง 


สัญชีพนรก ๑. 500ปีทิพย์ 9ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 4,500 ล้านปีมนุษย์

ได้แก่ พวกมหาโจร ปล้นทำลายทรัพย์สิน ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้ต่ำต้อย เมื่อตายจะไปอยู่ในนรกขุมนี้ นายนิรยบาลจะใช้อาวุธ ที่มีแสงฟาดฟันร่างกาย ขาดออกเป็น ๒ ท่อน ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วถูกฟาดฟันให้ตายลงไปเป็นเช่นนี้อีก เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นกรรม

สัญชีพนรกห่างไกลจากมนุษย์โลกเรานี้ไปทางเบื้องต่ำภายใต้พื้นดินธรณีประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ ปรากฏว่าสัญชีมหานรกประดิษฐานอยู่ สัตว์นรกในมหานรกขุมนี้มีอายุถึง ๕๐๐ ปี ของนรกขุมนี้ ๕ ล้านปีของเมืองมนุษย์ เป็นหนึ่งวันของเมืองนรกขุมนี้ แล้วก็เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน แล้วก็ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนเหมือนกัน ท่านลองคุณกันเล่น ๆ ก็แล้วกันว่ามันนานเท่าไหร่ เหล่าสัตว์ผู้ไปเกิดเป็นถึงแม้ว่าจะได้รับทุกข์โทษอย่างเสนสาหัสจนขาดใจตายไปแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาอีกได้ หมายความว่า บุคคลผู้มีใจบาปหยาบช้าลามกซึ่งตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะคล้าย ๆ กับว่ามีตัวตนเป็นกายสิทธิ์ คือไม่มีวันที่จะตายกันเลย ถึงแม้จะได้รับโทษอย่างแสนสาหัสจนทนไม่ไหวขาดใจตายไปก็จริง ถึงกระนั้นก็ต้องมีชีวิตชีวา กลับเป็นขึ้นมารับทุกข์โทษต่อไปอีก ฉะนั้นมหานรกนี้จึงมีชื่อว่า สัญชีวมหานรก = นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้ไม่มีวันตาย 

กาฬปุตตะ ๒. 1,000ปีทิพย์ 3โกฏฏ์6ล้านปี 36ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 36,000 ล้านปีมนุษย์

ได้แก่ พวกเพชฌฆาต พวกที่ฆ่านักบวช ภิกษุสามเณร ผู้ทุศีล อลัชชี พวกนี้เมื่อตายไป จะไปเสวยทุกข์ในกาฬสุตตะนรก นายนิรยบาลจะใช้เชือกสีดำ ดีดไปที่ร่างกาย แล้วใช้มีด ขวาน หรือเลื่อย ตัด ถาก หรือเลื่อย ตามรอยเชือกที่ดีดไว้ ได้รับความทุกขเวทนาแสนสาหัส

กาฬปุตตะมหานรก ห่างไกลจากสัญชีวมหานรกลงไปภายใต้ประมาณได้ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ สัตว์ที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ถึง ๑,๐๐๐ ปีนรก ๓๖ ล้านปีมนุษย์ เป็นหนึ่งวันของเมืองนรกขุมนี้ นรกขุมนี้มีกรรมหนักกกว่า แล้วก็มีอายุมากกว่า สัญชีพนรกอีก ปรากฏว่ามีกาฬปุตตะมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกขุมนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยนายนิรยบาลพากันเอาเส้นเหล็กเเดงลุกเป็นไฟมาตีให้เป็นเส้นดำเข้าตามร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยนรกมาเลื่อย หรือเอาขวานนรกมาผ่า หรือเอามีดนรกมาเฉือนกรีดไปตามรอยเส้นดำที่ตีไว้นั้น ไม่มีผิดรอยได้ ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า กาฬปุตตะมหานรก = นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษตามเส้นบรรทัดดำ 


สังฆาฏ ๓. 2,000ปีทิพย์ 14โกฏฏ์4ล้านปี 145ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 290,000 ล้านปีมนุษย์

ได้แก่ พวกพรานนก พรานเนื้อ หรือพวกที่ชอบทรมานเบียดเบียนสัตว์ ที่ตนใช้ประโยชน์ เช่น วัวควาย โดยขาดความเมตตาสงสาร บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปแล้ว ก็จะไปเสวยทุกข์ในสังฆาตะนรก ซึ่งจะถูกภูเขาเหล็ก ที่มีเปลวไฟลุกโพลง เคลื่อนมาบดทับขยี้ร่างกาย จนแหลกละเอียดเป็นจุณไป

สังฆาฏมหานรก ห่างไกลจากกาฬสุตตมหานรกลงไปภายใต้ประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ นรกขุมนี้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก ๑๔๕ ล้านปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันของนรกขุมนี้ปรากฏว่าสังฆฏมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้ 

ย่อมถูกลงโทษโดยถูกภูเขาเหล็กแดงกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งเข้าหากัน บดบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้แหลกเหลวไป เมื่อภูเขาเหล็กเลยไปแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ คือร่างกายเต็มตามเดิม แล้วก็พากันวิ่งหนีภูเขาไฟแต่ก็มาเจอนายนิริยบาลตีด้วยค้อนบ้างแทงด้วยหอกบ้าง เลยต้องพากันวิ่งไปบนแผ่นเหล็กแดง ซึ่งมีไฟเผาลุกโชนอยู่ตลอดเวลา 

และข้างก็ภูเขาไฟกลิ้งมาทางพวกสัตว์นรกวิ่งต่างก็วิ่งย้อนมาทางเดิมก็ต้องมาเจอกับนายนิริยบาลเคยทุบตีเข้าให้อีก ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า สังฆฏมหานรก = นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษโดยมีภูเขาไฟบดขยี้ร่างกาย 


โรรุวนรก ๔. 4,000ปีทิพย์ 23โกฏฏ์4ล้านปี 234ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 936,000 ล้านปีมนุษย์

ได้แก่ พวกเมาสุราอาละวาดทำร้ายร่างกาย พวกเผาไม้ทำลายป่า พวกกักขังสัตว์ไว้ฆ่า พวกชาวประมง เมื่อตายย่อมไปเสวยทุกข์ในโรรุวะนรก จะถูกนายนิรยบาล ทรมานด้วยควันไฟ อันร้อนระอุให้เข้าไปสู่ทวารทั้ง ๙ ร้องระงมด้วยความเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัส

โรรุวมหานรก ห่างไกลจากสังฆฏมหานรกลงไปในภายใต้ประมาณได้ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ นรกขุมนี้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก ๒๓๔ ล้านปีเมืองมนุษย์เท่ากับหนึ่งวัน ของนรกขุมนี้ ปรากฏว่าโรรุวมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ ดอกบัวเหล็กใหญ่มาก กลีบก็เป็นเหล็ก ซึ่งมีไฟนรกลุกแดงโพลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้ จะถูกบังคับให้ขึ้นไปนั่งบนดอกบัว เมื่อขึ้นไปบนดอกบัวแล้วกลีบบัวก็บานขึ้น บานแล้วก็เป็นเหล็กแดงมีกระแสไฟพวยพุ่งออกมาจากกลีบ คราวนี้ดอกบัวก็จะถูกไฟเผาจนแดง ไฟกรดยังเผาอยู่ตลอดเวลา พลุ่งอยู่ตลอดเวลาเขาบังคับ 

คือกฏของกรรมบังคับให้สัตว์ค่อย ๆ ก้มหัวลง ขึ้นไปยืนบนดอกบัวแล้วแหย่ขาลงไปในระหว่างกลีบ กรรมมันบังคับให้ตัวค่อย ๆ ก้มลง ๆ ในที่สุดก็จุ่มลงไปในโคนของกลีบดอกบัวมือทั้งสองข้างก็ยันลงไปในโคนของกลีบดอกบัว เมื่อพร้อมแล้วกลีบบัวก็งับเข้ามาเป็นกลับเหล็ก ร้อนก็ร้อน คมก็คม หัวจรดลงไปถึงแค่คาง มือจมลงไปถึงแค่ข้อมือ เท้าทั้งสองจมลงไปถึงแค่ข้อเท้า เจ็บก็เจ็บร้อนก็ร้อน ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวเหล็กก็รัดเข้าไป ความทุกข์ทรมานก็คงอยู่อย่างนั้นนานหนักหนาจนกว่าจะสิ้นอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก เมื่อเป็นเช่นนี้ 

เหล่าสัตว์นรกทั้งหลายก็ย่อมจะส่งเสียงร้องไห้ครวญครางเป็นธรรมดา ทุกถ้วนหน้าสัตว์นรกซึ่งมีอยู่มากมายหลายเป็นขุมนรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ร้องครวญคราง ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า โรรุมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ สัตว์เหล่านี้ไม่เคารพ กรรมบถ ๑๐ จึงต้องมาเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้ 


มหาโรรุวมหานรก ๕. 8,000ปีทิพย์ 921โกฏฏ์6ล้านปี 9,216ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์

ได้แก่ พวกที่ลักเครื่องสักการะบูชา ขโมยทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ครูอาจารย์ หรือภิกษุสามเณร นักบวชต่าง ๆ บุคคลเหล่านี้เมื่อตายแล้ว ย่อมไปเสวยทุกข์ในมหาโรรุวะนรก โดยถูกไฟเผาตามทวารทั้ง ๙ ร้องครวญครางด้วยเสียงอันดัง

มหาโรรุวมหานรก ห่างไกลจากโรรุวมหานรกลงไปในภายใต้ประมาณได้ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ นรกขุมนี้มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก เทียบกับเมืองมนุษย์ได้ ๙๒๑๖ ล้านปีเป็น ๑ วันของนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามหาโรรุวมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยวิธีให้ยืนแข็งทื่ออยู่ในดอกบัวเหล็กตั้งบานสะพรั้งเหมือนกันเป็นดอกบัวที่น่าหวาดกลัว ไม่น่าชม ใกล้ ๆ ดอกบัวมีแหลนหลาวปักเอาปลายขึ้น มีไฟลุกโชนเหมือนกัน ดอกบัวนี้ไม่งับไม่กางงับไม่สนิทเหมือนดอกบัวขุมก่อน ขุมก่อนงับสนิทหนีไม่ได้ 

ดอกบัวขุมนี้กลีบแต่ละกลีบคมเป็นกรดคมมากกว่าขุมก่อน มิหนำซ้ำยังร้อนแรงมากกว่าสัตว์นรกขึ้นไปบนนั้นแล้วถูกความร้อนเผาเพราะอำนาจความร้อนเต้นเร่า ๆ ๆ เต้นไปเต้นมากลีบดอกบัวมันก็บาดเข้าไปในเนื้อไฟก็เผาชะแลบแล่เนื้อหนังหล่นลงมา หมานรกก็คอยกินเนื้อหนังสัตว์เหล่านั้นอยู่ข้างล้าง บ้างก็หล่นลงมาถูกแหลนหลาวเสียบไฟก็เผาเนื้อหล่นลงมาหมาก็มารุมกิน รุมแทะเหลือแต่กระดูก ไม่ตายหรอก พอเหลือแต่กระดูกมันเจ็บแสบเหลือเกิน ร่างกายจับเข้าเป็นกายใหม่ พอเป็นกายเต็มแล้ว นายนิริยบาลก็เอาหอกเที่ยวไล่แทง บังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัวอีก 

ทำให้สัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ส่งเสียงร้องโอดโอยครวญครางเสียงดังมากกว่ามาก ฉะนั้นมหาโรรุมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า มหาโรรุวมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากกว่ามาก ถ้าจะถามว่าสัตว์เหล่านี้ต้องโทษอะไร ก็คือกรรมบถ ๑๐ ยังไงล่ะ 


ตาปะมหานรก ๖. 16,000ปีทิพย์ 184โกฏฏ์216ล้านปี 184,212ล้านปีมนุษย์ = 1 วัน 1 คืน ของนรกขุมนี้ 2,947,392,000 ล้านปีมนุษย์

ได้แก่ พวกเผาบ้านเผาเมือง เผาโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ บุคคลเหล่านี้ตายแล้ว ต้องไปเสวยทุกข์ในตาปนะนรก จะถูกนายนิรยบาลให้นั่งตรึงด้วยหลาวเหล็ก อันร้อนแรงและมีไฟลุกท่วมร่างกาย

ตาปะมหานรก ห่างไกลจากมหาโรรุวมหานรกลงไปในภายใต้ประมาณได้ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ นรกขุมนี้ สัตว์มีอายุ ๑ หมื่น ๖ พันปีนรก ๑๘๔,๒๑๒ ล้านปีเมืองมนุษย์เท่ากับ ๑ วันของนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามีตาปะมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้อุบัติเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกในขุมนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยวิธีถูกย่างให้ร้อนบนปลายหลาวเหล็กซึ่งโตเท่าลำตาล แหลมหลาวทั้งหลายเหล่านั้น มันเที่ยวไล่เสียบไล่แทงบรรดาสัตว์ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ ความจริงไม่มีชีวิต มันเสียบแทงสัตว์ทั้งหลายแล้วก็ตั้งขึ้นไว้ ไฟก็ไหม้ เนื้อหนังหล่นลงมาไหม้ เรียกว่าถูกไฟไหม้เนื้องหนังก็ทนไม่ไหว เนื้อก็ค่อย ๆ หล่น ขยายตัวลงมา 

ผลที่สุดบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายก็ทนอยู่บนแหลนไม่ไหว หล่นลงมาข้างล้างถูกพื้นเหล็กแดงเป็นเพลิงข้าล้างร้อนจัด ไฟก็เผา สุนัขตัวใหญ่ ๆ พากันวิ่งมากัดกิน กัดกินเนื้อ มันทั้งเจ็บทั้งแสบทั้งร้อน พอเข้าไปถึงกระดูกมันก็แทะกระดูกอีก สัตว์ทั้งหลายเหลือแต่กระดูก ธรรมดาคนและสัตว์ในเมืองมนุษย์ ถ้ามันเหลือแต่กระดูกแล้วชีวิตมันก็ไม่เหลือ แต่ทว่าในเมืองนรกนี้หาความตายไม่ได้ เพราะว่าเขาเอามาเพื่อทรมาน ให้เข็ดหลาบจำกัน ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า ตาปะมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อน 


มหาตาปนมหานรก ๗. ครึ่งอันตรกัปป์ 

ได้แก่ พวกมิจฉาทิฏฐิบุคคล เห็นผิดเป็นชอบ ไม่รู้จักของดีมีประโยชน์ ปฏิเสธเรื่องบุญ เรื่องบาป เห็นว่าตายแล้วสูญ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำแต่ทุจริตกรรม บุคคลเหล่านี้ตายแล้ว ย่อมไปเสวยทุกข์ในมหาตาปนะนรก จะถูกนายนิรยบาลไล่ให้ขึ้นไปบนเขาเหล็ก ที่กำลังร้อนแรง เมื่อลื่นตกลงมาเบื้องล่าง ก็จะถูกหลาวเสียบ และมีไฟไหม้ท่วมร่างกายของสัตว์เหล่านั้น

มหาตาปนมหานรก ห่างไกลจากตาปนมหานรกไปในภายใต้ประมาณได้ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ อายุของสัตว์นรกขุมนี้เขาไม่ได้บอกกำหลดเวลาไว้ ท่านบอกว่ามีอายุครึ้งกัป อายุหนึ่งกัปนั้นอุปมาว่า มีภูเขาหินแข็งแรงลูกหนึ่งสูง ๑ โยชน์ กว้างหนึ่งโยชน์ ยาว ๑ โยชน์ ถึงเวลา ๑๐๐ ปีจะมีเทวดาองค์หนึ่งเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดภูเขานั้นครังหนึ่ง ปัดทีหนึ่งแล้วก็กลับไป ๑๐๐ ปีมนุษย์ก็มาปัดอีกทีหนึ่ง จนกระทั้งภูเขาหินนี้สวยจังนเตียนลงไป หาหินไม่ได้เลยเหลือแต่ดินล้วน ๆ นั้นเป็นอายุประมาณ ๑ กัป ปรากฏว่ามีมหานปนมหานรกประดิษฐานอยู่เหล่าสัตว์ผู้ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้ 

ท่านบอกว่ามีกำแพงกั้นทุกด้านมีไฟพุ่งเข้ามาทุกด้าน อันนี้เหมือนกับนรกขุมอื่น แต่ทว่าไฟนี่ไม่มีเปลวจริง ๆ คล้ายกับแสงสว่างธรรมดา แต่มีความร้อนแรงมาก แล้วก็มีภูเขาเหล็ก ในนรกนี่เเปลกมีภูเขาเหล็ก ตั้งอยู่ระหว่างขุมนรกเยอะแยะไปหมด ความร้อนก้มาก ไฟพุ่งมาทุกทิศ จากข้างล้างถึงข้างบน จากข้างบนลงข้างล้างจากทิศเหนือทิศใต้ ทิศซ้ายทิศขวา พุ่งเข้ามารวมกันในจุดกลาง เหล็กหรือก็แดงฉานสัตว์นรกเนื้อและกระดูกแดงเหมือนเหล็กถูกเผาสุก ไฟนี้มีความร้อนแรงมากกว่าเมืองมนุษย์หลายสิบล้านเท่า นายนิริยบาลบังคับให้สัตว์ขึ้นเขา ถ้าไม่ขึ้นก็เอาหอกเสียบ หอกแทง เอาค้อนทุบ ไล่ตีพวกสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านี้มันก็เจ็บอยู่แล้วพอไฟเข้ามามันก็ร้อน พื้นก็ร้อน ถูกเขาบังคับแบบนั้นมันก็ต้องไป ต้องวิ่งขึ้นไป พากันวิ่งไปบนยอดเขา ภูเขาก็เป็นไฟทั้งลูก ร้อนแรงแล้วก็เป็นเหล็ก ไฟข้างนอกก็พุ่งเข้ามา พอหล่นลงมาก็เสียบกับแหลนแหลว ที่ปักเรียงรายอยู่รอบ ๆ เขา 

สัตว์ก็ดิ้นเร่า ๆ มีความร้อน มีความเจ็บ ทุกข์ทรมานมากที่สุดเมื่อโดนเสียบแบบนั้น ถูกไฟเผาหนักเข้า ในที่สุดก็หล่นลงมาจากแหลนหลาว ร่างกายก็เต็มบริบูรณ์ และก็ถูกไฟเผ่าตามเดิม นายนิริยบาลก็เข้าไปเอาค้อนทุบบ้างเอาหอกเสียบบ้าง บังคับให้ขึ้นเขาต่อไป สัตว์นรกเหล่านี้จึงได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่ามหานรกขุมที่ ๖ ที่กล่าวมาแล้วนั้นมากกว่า ฉะนั้นมหานรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า มหาตาปะมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อนมากกว่ามาก 


อเวจีมหานรก ๘. 1 อันตรกัปป์ 

ได้แก่ พวกทำบาปหนักที่เป็นอนันตริยกรรม คือ ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท คือ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน เป็นผู้ทำลายพระพุทธรูป พระพุทธเจดีย์ ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พวกติเตียนพระอริยสงฆ์ บุคคลเหล่านี้เมื่อตายแล้ว ย่อมไปเสวยทุกข์ในอเวจีมหานรก

จะถูกนายนิรยบาลตรึงเสียบด้วยหลาวเหล็ก อันร้อนแรงทั้ง ๔ ด้าน จากซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง ที่ศีรษะและเท้าถูกครอบตรึง ด้วยเหล็กที่ร้อนแรง

อเวจีมหานรก ห่างไกลจากมหาตาปนมหานรกลงไปในภายใต้ประมาณได้ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ นรกขุมนี้มีอายุหนึ่งกัปพอดี การลงโทษของนรกขุมนี้มีเป็นพิเศษ นรกตั้งแต่ขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๗ หรือว่าขุมอื่น บรรดาสัตว์ทั้งหลายมีการเคลื่อไหวได้ แต่ทว่าอเวจีมหานรกนี่ ไม่มีการเคลื่อไหว นรกขุมนี้มีกำแพงพิเศษทั้งข้างล้างข้างบน และทั้ง ๔ ด้านหนา สัตว์นรกเหล่านั้นยืนแล้วมีกำแพงทั้ง ๖ ด้าน ด้านข้าง ๔ ด้าน ข้างบนข้างล้าง ไฟก็พุ่งมาทั้ง ๖ ทิศ หอกทั้งเบื้องล้างเบื้องบน ด้ามหอกฝังอยู่กำแพงด้านบน ปลายหอกเสียบตั้งแต่หัวทะลุก้นและปักลงไปปักอยู่กำแพงด้านล้าง ด้านหน้า ด้านติดอยู่กับกำแพงด้านหน้า 

ตรงกลางหอกติดอยู่ที่อกของสัตว์นรกเหล่านั้น ด้านปลาย เอาหอกไปปักอยู่กำแพงด้านหลัง ด้านข้างก็เหมือนกันทั้งมือเท้า ทั้งตัว ถูกเสียบด้วยหอกหลายสิบเล่ม ได้รับความทุกข์ทรมานที่สุดไม่สามารถขยับเขยื่อนได้ เพราะถูกหอกมันตรึงเข้าไปหมด หอกก็เสียบ หอกเป็นเหล็กไฟ แล้วไฟก็พุ่งเข้ามาทั้ง ๖ ด้าน กระดูกแดงฉานเหมือนเหล็กสุก ไม่มีทางที่จะดิ้นรนได้ 

ความทุกข์ที่ทรมานที่ได้รับนั้นมันเป็นความทุกข์ทรมานที่เสมอราบเรียบหนักหนาอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน อยู่อย่างนั้น สิ้นเวลา ๑ กัป ไม่มีการผ่อนปรนเป็นความเบาบางเป็นบางครั้งบางคราวเหมือนมหานรกขุมอื่น เพราะเหตุที่นรกขุมนี้มีเปลวไฟนรกและความทุกข์หนักปรากฏอยู่เสมอ ไม่มีขณะที่ว่าง หรือขณะที่ผ่อนปรนให้เป็นความเบาบางเลยแม้แต่สักนิดเดียว ฉะนั้นมหานรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า อเวจีมหานรก นรกขุมใหญ่ซึ่งปราศจากคลื่อนกล่าวคือ ความเบาบางแห่งความทุกข์ 


อุสสุทนรก 

อุสสุทนรก นี้ ล้อมรอบเป็นบริวารชั้นในแห่งมหานรกในทิศทั้ง ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ขุม มหานรกขุมหนึ่ง ๆ มีอุสสุทนรกล้อมรอบ ๑๖ ขุม เพราะฉะนั้น อุสสุทนรกนี้ จึงมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดมากถึง ๑๒๘ ขุม คือ 

๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๑๖ ขุม 
๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๑๖ ขุม
๓. ล้อมรอบสังฆฏมหานรก ๑๖ ขุม 
๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม 
๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม
๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๑๖ ขุม 
๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๑๖ ขุม 
๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๑๖ ขุม 
รวมเป็น อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม 



บัดนี้จะขอกล่าวถึงชื่อแห่งอุสสุทนรกเพียง ๔ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารในทิศบูรพา ของมหานรกขุมที่ ๑ คือสัญชิวมหานรกเท่านั้น ทั้งก็เพราะว่าอุสสุทนรกซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารในทิศที่เหลือ คือ ทิศอุดร ทิศทักษิณ ทิศปัจฉิมก็ดี และอุสสุทนรกที่ล้อมรอบเป็นบริวารของมหานรกขุมอื่น ๆ ก็ดี อุสสุทนรกเหล่านั้นทั้งหมดต่างก็มีชื่อ และมีวิธีการลงโทษเหมือน ๆ กันกับอุสสุทนรกทั้ง ๓ ที่ล้อมรอบเป็นบริวารซึ่งจะกล่าวถึงในที่นี้ มีรายชื่อตามลำดับ ดังนี้ 

คูถนรก ๑. 

คูถะนรก นรกอุจจาระเน่า 

คูถนรก คือนรกขุมแรกที่ออกจากนรกขุมใหญ่แล้วต้องผ่านนรกขุมนี้ชื่อว่า คูถนรก คูถะในที่นี้แปลว่าคูถ ขี้ หรืออุจจาระ นรกขุมนี้มีกลิ่นเหม็นร้ายแรงไปด้วยอุจจาระ แล้วก็ร้อนเหมือนถ่านเพลิง มีขี้สุกแดง เนื้อขี้เป็นเหล็ก ไม่เป็นสภาพเหลวอย่างในเมืองมนุษย์ นรกขุมนี้มอกจากมีขี้หรืออุจจาระแล้วก็มีนอนปากเหล็ก หนอนตัวใหญ่มากปากก็เป็นเหล็ก 

เมื่อบรรดาสัตว์นรกใหญ่เข้าไปถึงนรกขุมนี้แล้ว บรรดาหนอนทั้งหลายก็พากันยื้อ เพราะเวลาที่เข้าไปนรกขุมเนื้อหนังบริบูรณ์ดี เรียกว่าอ้วนเป็นอาหารของบรรดาหนอนทั้งหลายได้ บรรดาหนอนทั้งหลายเห็นเข้าก็พากันเข้ามากัดกิน เมื่อบรรดาหนอนกัดกินก็เกิดความเจ็บปวด ไอ้ตัวใหญ่กินข้างนอก ตัวเล็กก็เข้ารูจมูกบ้างรูหูบ้าง เที่ยวกัดกินภายใน จะกินอยู่ตลอดเวลาเท่าไหร่ท่านไม่ได้กำหนดไว้ เวลาที่นอนที้งหลายกัดกินเนื้อหมดไปมันก็เกิดขึ้นมาใหม่ หนอนก็กัดกินต่อไปจนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ร้อนก็รอน เจ็บก็เจ็บ กินอะไรก็ไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น หนอนรุ่นใหญ่ก็รัดเสียกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ บริเวรรอบ ๆ ขี้หรืออุจจาระก็ร้อน รัดรึงตัวเข้ามา เหม็นก็เหม็นนี่เป็นนรกพิเศษ 


กุกกุฬนรก ๒ 

กุกกุละนรก นรกหลุมขี้เถ้า 

กุกกุฬนรก นรกขุมนี้แปลว่าเถ้ารึง คำว่าเถ้ารึงคล้ายขี้เถ้า แต่ว่าขี้เถ้ามันจะเหนียว มันจับกันเป็นใยเป็นสาย ไม่เหมือนขี้เถ้าหัวหงอกในเตาไฟของเรา ขี้เถ้าที่เราเห็นๆกันอยู่มันไม่จับตัว แต่ทว่าขี้เถ้าในนรกนี้มันยึดกันเป็นสาย แล้วก็เป็นเหล็กไม่ใช่เถ้าปุยเป็นเถ้าเหล็กแดงเผา เถ้าเส้นใยเหล็กรัดติดเจ็บ รัดเข้ามาแน่น หายใจหายคอไม่ออก แล้วก็มีความร้อนเหมือนกับมีเหล็กแดงมารัดตัวเข้าไว้ ท่านผู้อ่านลองคิดดูก็แล้วกัน ว่ามันจะเป็นการมรมานเพียงใด รัดเข้าจนเจ็บแล้วก็ยังไม่พอยังมีความร้อนเผาตลอดตัว ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งนะ มันคลุมตัวหมด ลงไปแล้วก็จมลงไปในเถ้ารึงเลย เพียงแค่เราเอาธูปมาแตะนิดเดียวเราก็ทนไม่ไหว นี่เหล็กเส้นเล็ก ๆ เผาไฟแดงโชน แล้วมาหุ้มตัว เอาไฟเผาตลอดเวลา ลองคิดดูเอาเถอะว่ามันจะมีความทรมานลำบากเพียงใด เจ็บแสบเพียงใด ทุกขเวทนาเพียงไหน สำหรับนรกขุมนี้เป็นขุมที่ ๒ แล้วก็ไม่แน่เหมือนกันว่าอายุเท่าไร เพราะท่านไม่ได้บอกไว้ 


อสิปัตตนรก ๓ 

นรกขุมที่ ๓ นี้น่ารื่นรมดูแล้วไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนสองขุมที่กล่าวมาแล้ว มีต้นมะม่วงงาม มีสาขาเขียวพรึบไปทั้งต้น แล้วก็ทั้งต้นมะม่วงมีลูกยั่วเยี้ยห้อยเป็นระย้าน่ากิน ข้างๆ ก็เป็นที่ราบเรียบรื่นรมย์สะอาดสะอ้านไม่มีฝงฝุ่นให้เห็นเลย บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายออกมาจากนรกขุมที่ ๒ แล้วเห็นต้นมะม่วงมีลูกห้อยระย้า เหล่าสัตว์นรกทั้งหลายหิวโหยมานาน มันหิวตลอดกาลนานมาแล้วมันต้องการตลอดเวลา ตั้งแต่มาตกในนรกขุมใหญ่ แต่ว่าเวลาที่จะกินมันก็ไม่มี มีแต่ความทุกข์ทรมานอย่างเดียว พอขึ้นมาเห็นดงมะม่วงเข้าก็มีความดีใจ ว่าดงมะม่วงใหญ่นี้เป็นอาหารอันโอชะของเรา วันนี้แหละเราจะได้อาหารบริโภค เราจะกินให้อิ่มหนำสำราญสมกับความหิวกระหายมานานแสนนาน 

ต่างคนต่างก็วิ่งเข้ามาที่โคนต้นมะม่วงและปีนป่ายขึ้นไปเก็บมะม่วงมาบริโภค แต่ความปรารถนาของสัตว์นรกไม่สมหวัง เมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายยังไม่สิ้นกรรมวิ่งเข้าไปที่โคนต้นมะม่วง มะม่วงต้นนั้นก็แผลงฤทธิ์เป็นมะม่วงยักษ์ขึ้นมาทันที บรรดาใบดอกและลูกของมะม่วงกลายเป็นหอกเป็นดาบไปหมด ต้นมะม่วงก็เต็มไปด้วยขวากหนามและมีความร้อน สัตว์ที่ขึ้นไปบนต้นมะม่วงทนไม่ได้ก็หล่นลงมา ใบและลูกทั้งหมดก็พากันโปรยปรายหอกดาบ 

กายเป็นหอกหลายเป็นดาบมาทิ้มแทงสัตว์นรกทั้งหลายที่อยู่ต้นมะม่วง ต่างคนต่างได้รับความเจ็บปวด หอกดาบพวกนั้นเหมือนดังมีชีวิต หอกแต่ละแล่ม ดาบแต่ละเล่มลงมาก็ตรงสัตว์นรกเหล่านั้นพอดี นรกขุมนี้ไม่มีนายนิริยบาลควบคุมก็เลยพากันวิ่งหนีโคนต้นมะม่วงที่ได้กลายเป็นหอกเป็นดาบไปแล้ว แต่พอหนีไปได้ไม่ไกลก็ปรากฏว่ามีกำแพงเหล็กขึ้นทั้ง ๔ ด้าน กันไม่ให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นวิ่งหนี สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อพบกำแพงเหล็กก็หันมาอีกที หวังจะหนีไปทางอื่น ก็พบสุนัขใหญ่ขนาดเท่าช้าง โตกว่าตัวมาก มาไล่กัดกินเป็นพัลวัน ไล่แทะไล่กัดไล่กินจนกระทั่งกินเนื้อหมดเหลือแต่กระดูก แล้วเนื้อก็เต็มขึ้นมาใหม่ วิ่งหนีหลับเข้าไปโคนต้นมะม่วง ใบและลูกของมะม่วงก็หล่นมาเป็นหอกเป็นดาบ หนีออกไปก็ถูกไล่กัดกิน ทรมานอย่างนี้จนหมดวาระ กี่ปีท่านไม่ได้บอกไว้ แต่ว่าอย่าลืมว่า เวลามันนานมากเหลือเกิน 


เวตรณีนรก ๔ 

นรกขุมนี้ดู ๆ แล้วก็ไม่เหมือนนรกเท่าไร เพราะว่ามีน้ำใสสะอาด มองแล้วเห็นลึกลงไปจนกระทั้งเกือบถึงพื้นดินข้างล้าง บรรดาสัตว์ทั้งหลายโดนทรมานจากนรกขุมต่าง ๆ มาแล้ว ต่างก็คิดว่าเวลานี้เราพ้นทุกข์แล้ว ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสอิสรภาพมีสำหรับเรา บรรดาสัตว์ทั้งหลายอาศัยที่มีความร้อนเผาผลาญมานาน แล้วก็มีความกระหายน้ำมีความร้อนกลุ้มใจอยากจะอาบน้ำมานาน พอเห็นแม่น้ำใสมีอยู่ข้างหน้าต่างก็พากันดีใจ เราจะกินน้ำให้สบายจะว่ายน้ำดำหัวเล่นให้สบาย สมกับที่เราลงโทษมาจากกองไฟสิ้นเวลากาลนาน 

เมื่อสัตว์ทั้งหลายดำริดังนี้แล้ว มันใกล้แม่น้ำเข้าไปก็วิ่ง ดีใจ มีความรื่นเริงบันเทิงใจวิ่งลงไปปรารถนาจะกระโดดลงไปในน้ำ เมื่อไปถึงแม่น้ำ ก็มีต้นหวายใหญ่มีหนามยาวแหลมคมมาก ไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นมาตอนไหน มันโผล่ขึ้นมาขวางไว้ สัตว์ทั้งที่โดดลงไปก็ค้างอยู่บนหวาย หวายหนามนั้นกลายเป็นหวายเหล็กที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน คมของหนามหวายมันก็ทิ้มมันก็แทง ความร้อนและความเจ็บปวดทำให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นดิ้นรน ดิ้นไปดิ้นมา 

ในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำที่ใสสะอาด แต่กับกลายเป็นน้ำกรด เมื่อสัตว์เหล่านั้นหล่นลงไป น้ำกรดกัดแสบเป็นแผลไปหมดทั้งตัว ต่างก็พากันว่ายหนีน้ำกรด ว่ายไปว่ายมาไม่รู้จะขึ้นที่ไหน หวายมันก็กั้นเข้าไว้ และก็มีดอกบัวโผล่ขึ้นมาในระหว่างกลางแม่น้ำดอกใหญ่ ๆ บรรดาสัตว์เหล่านั้นก็ดีใจ ได้พากันปีป่ายขึ้นไปบนดอกบัว พอขึ้นไปด้แล้วดอกบัวที่เห็นว่าเป็นดอกบัวธรรมดานั้นได้กลายเป็นดอกบัวเหล็กกลีบก้เป็นเหล็ก มีความคมมาก มันก็เลยบาดเอาเนื้อบาดตัวเอา 

ขยับเขยื่อนไม่ได้ มันมีความคมเป็นกรดบาดเสียเนื้อหนังหลุด เหวอะหวะไปหมดทั้งตัว บรรดาสัตว์ทั้งหลายทนเจ็บต่อความเจ็บปวดทุกขทรมานไม่ไหว ก็พากันกระโดดจากดอกบัวหนีลงไปในน้ำ ก็ต้องเจอกับความแสบของน้ำกรดเข้าอีก คราวนี้สัตว์ทั้งหมดก็คิดว่าจะดำน้ำหนีลงไปข้างล่าง ดำลงไปถึงพื้นข้างล่างก็ไปพบหอกดาบทิ่มแทงเข้าให้อีก เป็นอันว่าสัตว์นรกทั้งหมด ไม่พ้นจากความทุกข์ทรมานจากนรกขุมนี้ ไม่ทราบว่านานเท่าไร มาถึงนี่แล้ว ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้รับทราบไว้ว่า อุสสุทนรกซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นในแห่งมหานรกมีอยู่ทั้งหมด ๑๒๘ ขุม และมีชื่ออยู่ ๔ ชื่อนี้เท่านั้น 

มหานรกแต่ละขุม นอกจากจะมีอุสสุทนรกซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นใน ๑๒๘ ขุม ปรากฏอยู่ในทิศทั้ง ๔ อีกทิศละ ๑๐ ขุม ก็นรกขุมเล็กซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกทั้งหลายนี้ มีชื่อเรียกว่า ยมโลกนรก 


ยมโลกนรก 

ยมโลกนรก นี้ ตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งต่อจากอุสสุทนรกออกไป เป็นนรกแต่ละขุม มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกอยู่ในทิศทั้ง ๔ คือ ทิศบูรพา ๑๐ ทิศ ก็เป็น ๔๐ ขุม มหานรกมีอยู่ ๘ ขุม มหานรกขุมหนึ่ง ๆ มียมโลกนรกทั้งหมด ๓๒๐ ขุมพอดี อธิบายอย่างนี้รู้สึกจะเป็นความลำบากทั้งผู้ศึกษาและผู้อธิบายอยู่บ้าง ดังนั้น จึงจะขอแยกจำนวนยมโลกนรกให้ดู เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้ 

๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๔๐ ขุม 
๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๔๐ ขุม 
๓. ล้อมรอบสังฆฏมหานรก ๔๐ ขุม 
๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม 
๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม 
๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม 
๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ ขุม 
๘ . ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๔๐ ขุม 
รวมเป็น ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม

โลหะกุมภี ๑. 

กุมภีแปลว่าหม้อ หรือแปลมีหม้อโลหะใหญ่ ตามศัพท์หนังสือท่านเขียนว่าหม้อทองแดง หรือมีหม้อทองแดงใหญ่โตมหึมา ใหญ่เท่า ๆ กับสัตว์ที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์ที่จะลงนรกมาก หม้อก็ใหญ่มาก มีสัตว์ลงนรกน้อย หม้อใหญ่ก็น้อยหดลง ดีเหมือนกัน นรกตามใจคน นรกไม่ขัดใจนคน พอมีคนมากก็ขยายออกไปให้ใหญ่มีคนน้อยก็ขยายให้น้อยได้ ในหม้อทองแดงนี้มีน้ำทองแดง น้ำเป็นน้ำโลหะที่ถูกเคี่ยวจนเดือดพล่าน 

ท่านเคยเห็นคนที่เขาหล่อพระพุทธรูปหรือหล่อหล่อมโลหะไหม? เขาจะเคี่ยวทองเหลือหรือทองแดงหรือว่าโลหะ เคี่ยวไปจนเป็นน้ำ แล้วก็เทลงไปในเบ้าหลอม สภาพของน้ำทองแดงก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีความร้อนแรงยิ่งกว่าน้ำทองแดงหรือทองเหลืองที่เราเห็นกัน มันแรงมากกว่าเรียกว่ามีความร้อนจัด และมีความรัดตัวมากกว่า เพราะเป็นน้ำทองแดงของนรก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม เศษนะ นายนิริยบาลก็เอาหอกมาเสียบแล้วก็โยนลงเทลงหม้อทองแดง 

หม้อทองแดงเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ถูกความร้อนจากเหล็ก ถูกความร้อนจากไฟ เผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ จมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนเวียนกันอยู่แบบนี้ไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาต มนุษยเราชอบพูดกันนักว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาก็เป็นอาหารของคน สัตว์ทุกตนรักชีวิตของตัวเวลาที่เราจะเข้าไปจับ หรือเวลาที่เราจะไปฆ่ามันจะดิ้นรนเพื่อหาอิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าหรือทำร้ายมัน 

ถ้าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เจตนาหรือจงใจ เช่นบังเอิญเราเดินไปเหยีบบ้าง หรือเวลายุงมันมากัดเรา ๆ รำคาญก็เอามือไปลูบไปแตะเพื่อให้ยุงมันหนีไป แต่บังเอิญเจ้ายุงมันตระกระกินมากไปบินไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน ไปถูกเข้าตายโดยบังเอิญ เราไม่มีเจตนาฆ่าให้มันตาย อันนี้ไม่มีโทษต้องลงยมโลกยนรก ลงโลกหะกุมภี ทั้งนี้เพราะว่าเราไม่ได้มีเจตนา 

เป็นอันว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นจะลงนรกได้ต้องมีเจตนา ถ้าท่านอยากลงนรกขุมนี้ ก็เชิญฆ่าสัตว์ด้วยเจตนา ถ้าไม่อยากจะมาก็ให้มีเมตตาปราณีเข้าไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ มีเมตตาในพรหมวิหาร ๔ หรือทรงวิหาร ๔ ทั้งหมด นรกยมโลกียนรกขุมนี้ ท่านไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่บอกว่าตกกี่วันกี่ปีกี่เดือน แต่ว่านานเหลือเกิน อย่าลืมนะ พอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒ - ๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย 


สิมพลีนรก ๒. 

สิมปลิวนะนรก นรกป่างิ้ว 

สิมพลีนรก นรกต้นงิ้ว เป็นต้นงิ้วยักษ์มีพิษมาก และเป็นต้นงิ้วที่ไม่มีใบมีแต่กิ่งกับหนาม ปุ่มเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่รอบของต้น หนามงิ้วยาว ๑๖ องคุลีนรก ( ไม่ใช่องคุลีมนุษย์เรา) ยาวมาก ใหญ่มาก มีสภาพเป็นสปริงมันเกาะอยู่กับต้นธรรม มีความคมเป็นกรด เวลามีคนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ้งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่ง ๆ มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้ พอเวลานั่งก็ยบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา ดูคล้าย ๆ กับมันมีชีวิต แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่มีความชั่วขึ้นไป ไปกระทบตัวมัน ๆ ก็จะพุ่งแทงทันที เลือดของคนมีบาปแดงฉานลงมา นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับลงโทษ พวกคนชั่วใจชั่วเจ้าชู้ไม่เลือก ไม่รู้จักว่าผัว เมียใคร ลูกใคร ข้าทาสหญิงชายของใคร 

เรื่องนี้ไม่ได้บังคับแต่เฉพาะว่า ผัวใครเมียใครหรอก แม้แต่ลูกของเขา ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครอง คือบิดามารดา แม้ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามที ไม่ได้ต้องลงโทษ ต้องมานรกขุมนี้ ข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่นหรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครองแล้วไปร่วมรักกันเข้า ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้ 

เอาละมาดูว่าที่นรกขุมนี้มีอะไรบ้างทำอย่างไรกับสัตว์นรกนี้บ้าง โคนต้นงิ้วจะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่โตมาก มีความคม แล้วก็มีสุนัขคอยยื้อและกัดสัตว์ใจบาป และบนยอดงิ้วก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ ๆ ปากเป็นเหล็กคอยรออาหารอยู่ ต้นงิ้วในนรกขุมนี้ดูสะพรั่งไปหมด และไม่มีต้นไหนเลยที่จะว่างเว้นจากสัตว์นรกเลย มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไต่ไปบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบเข้าให้ สัตว์นรกเหล่านั้นต้องตระเกียกกระกายขึ้นไป ถ้าไม่ไต่ที่สูงขึ้นไปก็จะถูกหอกแทงซ้ำดันขึ้นไป หนามก็บาดเลือดก็โทรมบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลังพุ่งข้างตัว ดูเลือดฉานไปหมด ร้องครวญครางกันเป็นตับเสียงระงมไปหมด 

เมื่อสัตว์เหล่านั้นไต่ขึ้นไปจนถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล้าง นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ และสุนัขใหญ่ก็กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้วก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันให้ไต่ขึ้นไปใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม 

ท่านทั้งหลายผู้หญิงหรือผู้ชาย อย่าคิดว่าไปยุ่งกับคนอื่นแล้วไม่มีโทษ ถ้าเมียเขาหรือสามีเขาไม่อนุมัติแล้ว อย่าเชียว มาแน่ นรกต้นงิ้วนี่มาแน่ แล้วเวลากลับก็ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน... 


อสินขนรก ๓. 

อสินขนรก นรกขุมนี้มีสัตว์คอยกัดกินอยู่ตลอกเวลา ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีสุนัขตัวใหญ่คล้าย ๆ ช้างคอยกัดกินสัตว์นรก สำหรับโทษของนรกขุมนี้ท่านกล่าวว่าเป็นโทษอทินนาทาน ความจริงโทษอทินนาทานก็ดี โทษปาณาติบาตก็ดีก่อนที่จะมานรกขุมนี้ ต้องไปเสวยนรกขุมใหญ่เสียก่อนไม่ขุมใดก็ขุมหนึ่ง เพราะเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ สำหรับกาเมสุเมจฉาจารนี่ ก็คิดว่าเหมือนกันต้องไปลงนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วมายุมโลกีนรก มันเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน 

คือ กรรมบถ ๑๐ ก็มี ปาณษ อทินนา กาเม ๓ อย่างนี้มีอยู่ในกายกรรม ฉะนั้นท่านที่ระเมิดกรรมประเภทนี้ต้องไปนรกขุมใหญ่ขุมหนึ่งหรือว่าสองขุมสามขุม แล้วผ่านนรกบริวาร จึงมาไล่เบี้ยเฉพาะในยมโลกีนรกนี่อีกใหม่ นรกขุมนี้ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารอะไร จะมีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ และสุนัขตัวใหญ่ คล้าย ๆ ช้าง คอยไล่กัดตลอดเวลา ครั้นสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งหนีสุนัขก็จะไปเจอกับนายนิริยบาลเอาหอกเสียบแทงบ้าง ใช้ค้อนทบบ้าง สุนัขก็กัดกินสัตว์นรก กินจนเหลือแต่กระดูก พอเหลือถึงกระดูกก็เจ็บแสบนัก ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มี สัตว์นรกไม่มีการตาย แม้ชั่วครึ่งวินาทีก็ไม่ตาย ความรู้สึกตัวนี่ไม่มีสำหรับสัตว์นรก ถ้ายิ่งถึงกระดูกสัตว์แทะกระดูกก็ยิ่งเจ็บหนัก พอมันของกระดูกหมดแล้วก็ปรากฏว่ามีเนื้อหนังขึ้นมาตามเดิมลุกขึ้นวิ่งหนีสัตว์ นายนิริยบาลก็ไล่ทุบไล่แทงอีก บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ไล่ต้อนกัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา 

ทั้งนี้ก็เพราะโทษของการชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน คดโกงเขาบ้าง จี้ ปล้น เรียกว่าหาทรัพย์สินมาได้โดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ 


ตามโพทนะนรก๔. 

นรกขุมนี้มีหม้อเหล็กแดงแล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เต็ม คอยรอสัตว์ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย นรกขุมพิเศษขุมนี้สำหรับสัตว์ที่ดื่มสุราและเมรัย เรียกว่าของที่ทำให้ใจของเรานี้ฟั่นเฟือนด้วยอำนาจการเสพติด จะเป็นสุราเมรัยที่เป็นน้ำ หรือเป็น กัญชา เฮโรอิน อะไรก็ตาม ที่ทำให้มีความมึนเมาสติสัมปชัญญะเคลื่อน นี่นายนิริยบาลท่านไม่ถือ ท่านได้ต้อนรับด้วยการเลี้ยงดูปูเสือด้วยน้ำกระทองแดงอยู่แล้ว 

นรกขุมนี้มีไฟแดงฉาน พื้นข้างล้างเป็นพื้นเหล็กเเดง ไฟเผาจนแดงโชน บริเวรนั้นจะมีหม้อทองแดงที่เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เกลื่อนกลาดไปหมด พอดีกับปริมาณของคนที่ลงมาในนรกขุมนี้ เรียกว่าจะขาดจะเกินนั้นไม่มี ลงมาเท่าไรหม้อทองแดงเกิดเท่านั้น นายนิริยบาลจะจับสัตว์นรกเหล่านั้นให้นอนนบแผ่นเหล็กที่มีไฟเผ่โชน เห็นพรือยัง บังคับให้นอน ถ้าไม่นอนก็ขวานบ้าง หอกบ้าง ค้อนบ้าง ทุบลงไป แทงลงไป ฟันลงไป ต้องนอน ถ้นดินรนขัดขืนจะมีคนจับหัวจับท้ายจับหัวกดห้ามดิ้น ลองคิดดูว่าไฟก็เผา เหล็กก็แดงโชนเป็นเปลวเพลิงแล้วไหม้ทั้งกายอยู่แล้ว แล้วนี่มานอนลงไปอย่างนั้นมันจะแสบปวดร้อนแค่เพียงใด สัตว์นรกทุกตัวทุกตนดิ้นร้องกระวนกระวาย น่าสงสาร 

เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายนอนลงแล้ว เขาก็เอาหม้อที่มีน้ำทองแดงเคี่ยวไว้ดีแล้วมีกระแสเปลวเพลิงขึ้นมาพรึ่บ ๆๆ เต็มหม้อ เอาคีมงัดปากให้สัตว์นรกเหล่านั้นอ้าปาก เมื่ออ้าปากแล้วก็กรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำทองแดงเข้าปาก ปากพัง ไหลไปถึงคอ คอพัง ไหลไปถึงอก อกพัง ไหลไปถึงท้อง ท้องพังหมด ร่างกายสลายหมด แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ตาย เมื่อร่างกายสลายตัวไปแล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนเหมือนเดิม ปับเดียว เป็นคนบริบูรณ์ไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตามเดิม แล้วก็ถูกนายนิริยบาลกรอกอยู่อย่างนนั้น จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ถ้าจะถามว่าเวลากฏของกรรมเป็นกี่วัน กี่เดือน กี่ปีของเมืองนรกก็ตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บอกไว้ 


อาโยคุฬะนรก ๕. 

นรกขุมนี้มีก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาด พื้นก็เป็นเหล็กเผาจนแดงเหมือนกัน มีไฟเผ่ตลอดเวลา ในบริเวรของพื้นที่เป็นเหล็กเผาจนแดงโชน ก็มีก้อนเหล็กกลม ๆ คล้าย ๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ วางแดงอยู่เกลือนไปหมด และก็มีไฟเผาสุกอยู่เหมือนกัน นรกขุมนี้มีไว้เป็นที่ลงโทษสัตว์นรกคือ นักบุญ???? คือนักบุญประเภทที่มีการเรี่ยไรบอกบุญ เขามีไว้เฉพาะนะ เมื่อลักขโมยเขาก็มี ว่าไว้เรื่องหนึ่ง ที่นี่มาว่าถึงนักบุญที่มีการเรี่ยไร มีการบอกบุญ จะเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นฆราวาสเป็นทายกทายักอะไรก็ตาม มีการลงโทษเหมือนกัน เวลาบอกบุญเวลาเรี่ยไรเขามาแล้ว 

บอกว่าจะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างถนน สร้างส้วม สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ อะไรก็ตาม เป็นเรื่องของบุญก้แล้วกัน เมื่อบอกมาแล้ว เวลาได้มาแล้วไม่ยักเอาไปทำหมด บางทีก็กันเสียหมดเลย หรือไม่ก็ถึงแค่ครึ้ง ตัวเองเสียครึ้งหนึ่งอย่างนี้ หรือว่าบางรายบอกเรี่ยไรเขามาได้แล้ว แต่เอามาแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน ว่านี่ค่าจ้างของฉัน นี่ค่าอาหาร นี่เป็นค่าเครื่องดืม นี่เป็นค่าเหล้า เมื่อเราเรี่ยไรให้แก่วัด เราก็ต้องกินของวัด แต่ความจริงจะกินแค่อาหารอีกทั้งบุหรี กาแฟตามความจำเป็น อันนี้ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่ทว่าจะต้องตกลงกันไว้กับเจ้าอาวาสเสียก่อน หรือบรรดาคณะสงฆ์เสียก่อน แต่ว่าถ้าจำเป็นไปถึงสุราเมรัยละก็ อันนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยกันได้ ระวังกฏของกรรมเขาจะลงโทษเอาเข้าให้นะ 

นรกขุมนี้ปรากฏว่าก้อนทองแดงหรือเหล็กแดงที่เผาโชนมีเปลวไฟไปด้วยกฏของกรรมบังคับอยู่ แทนที่สัตว์นรกเหล่านั้นจะเห็นเป็นก้อนเหล็ก สัตว์เหล่านั้นก็จะเห็นว่าเป็นชิ้นเนื้ออันโอชะ เกิดความหิวความกระหายอย่างหนัก วิ่งเข้าไป แย่งกันกิน เพราะเห็นว่าเป็นก้อนเนื้ออย่างดีมีกลิ่นหอม พอวิ่งเข้าไปถึงก็แย่งกันเอาก้อนเหล็กแดงเข้าใส่ปาก เคี่ยวกินก้อนเหล็กแดงไม่ใช่สีแดง มันแดงเพราะความสุกของไฟ พื้นที่วิ่งลงไปก็มีไฟตลอดเวลา คือบริเวรที่วิ่งลงไปนั้นเดินไปอยู่นั้นนะ มีไฟทั้ง ๔ ทิศตลอดเวลาพุ่งเข้าหากัน พื้นข้างล้างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชนก้อนเหล็กที่กินเข้าไปก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดงโชน เมื่อกินก้อนเหล็กแดงเข้าไปพอถึงปาก ปากพัง ถึงคอ คอพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ล้มลงถึงแก่ความตาย แต่ความจริงไม่ตาย มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว เมื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว ก็ปรากฏว่ามีการทรงกายตามเดิม 

เมื่อมีการทรงกายตามเดิมก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด กฏของกรรมมันบังคับให้หิว เรื่องของความจำว่าไอ้อาหารก้อนนี้มันเป็นก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงนั้น ไม่มีความจำเลย เพราะเป็นกฏของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง ๔ ทิศ ข้างล้างก็เป็นพื้นเหล็กที่เผาจนแดงโชนร้อน แต่ความหิวบัวคับให้วิ่งเข้าไปหาก้อนเหล็กแดงใหม่ กินเข้าไปแบบนั้น ทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ท่านที่เป็นนักเรี่ยไรจงระวังให้ดีอย่าได้มาที่นี่ก็แล้วกัน 


ปิสสกปัพพตะนรก ๖ 

สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งนมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่าปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้แปลว่าภูเขา บรเวรของนรกขุมนี้ทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวรใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวรกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริง ๆ มากไม่น้อยหน้าขุมอื่น ๆเลย กลาดเกลื่อนไปหมด นอกจากมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่า ๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่า ๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกแล้วกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา 

แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วเป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ้งท้องไม่ เรียกว่าหายใจเข้าไม่ต้องเต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข เวลานั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาบดขยี้ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฏของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ นรกขุมมีไว้ลงโทษ พวกช้อราชบังหลวง พวกทุจริตหาประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คำนึงว่าถูกหรือผิด พวกชอบรีด พวกคดโกง สำหรับคนพวกนี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ชอบไปรีดเขา เมื่อตายไปแล้วจึงต้องให้นรกรีดให้บ้าง ทับบดขยี้ให้แบนราบแล้วก็ยังมีไฟเผาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาอีกด้วย...ถ้าท่านไม่กลัวก็เชิญนะ..... 


ธุสะนรก ๗ 

ธสะนรกขุมนี้ เป็นแม่ใหญ่ น้ำใสแจ๋ว สะอาดสะอ้านดูแล้วรื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงนรกต่าง ๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกทุรนทุรายต้องการน้ำ คือความกระหายน้ำ ต้องการจะอาบน้ำให้สบายตัวสบายกาย เมื่อเดินทางมาใกล้ถึงนรกขุมนี้แล้ว มองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็นสดชื่นตา ต่างก็วิ่งรี่เข้าไปหาแม่น้ำเพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ 

เมื่อถึงแม่น้ำแล้วก็วิ่งกรู ต่างก็กระโดดลงไปหวังจะดื่มกินไปพร้อม ๆ กันกับเล่นน้ำให้ชุ่มชื่นใจ แต่ที่ไหนได้ พอโดดลงไปแล้วก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏมีซากของน้ำแม้สักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน แกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบแดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟเผาผลาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็วิ่งกันพลุกพล่าน 

ถ้าวิ่งขึ้นมาบนของแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาไฟแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานน่าสลดใจยิ่ง 

นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนประเภท ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุมเป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหรือเป็นนรกบริวารของนรกขุมใหญ่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฏของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฏของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่านรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็นรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวาร ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี่ มาไล่เบี้ยกฏของกรรมเป็นอย่าง ๆ 

ใครทำแบบไหนก็ต้องลงนรกขุมนั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกเป๊ะเจี๊ยะเฉย ๆ เผาผลาญเฉย ๆ ลงโทษเฉย ๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้... 

สีตโลสิตะนรก ๘ 

สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำอีกแล้ว นี่ก็แปลกเหมือนกัน นรกน้ำติด ๆ กัน ๒ ขุมน้ำเย็นเฉียบ ที่นี่สัตว์นรกทั้งหลายต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของน้ำเป็นสำคัญ นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนที่ขาดเมตตา เมื่อตอนที่เขาเหล่านั้นสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น เป็นคนที่ไม่มีเมตตาปรานีใคร เจอะเป็ดเจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้านบ้าง เหวี่ยงจากที่สูงไปที่ต่ำบ้าง เหวี่ยงลงน้ำบ้าง เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้ 

พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีเข่นก็ฆ่า เพื่อความสนุกบรรเทิงใจบ้าง ฯลฯ แต่ว่านรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะกุมภี โลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้ ไม่ได้ทำให้สัตว์ให้ถึงตาย เพียงแต่ไร้ความปรานี ลงโทษสัตว์เล่น เช่นทุบตีบ้าง คือขาดเหตุผล อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มแหงตะกละตะกราม เราตีเพื่อความหวังดี นี่ท่านไม่ว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยความอำนาจของเมตตา หากว่าทำไปด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่ นรกขุมนี้ท่านไม่ปล่อย ให้ลอยนวน 

วิธีลงโทษของนรกขุมนี้ เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายเห็นน้ำเย็นต่างก็โดดลงไป น้ำเย็นนี่เย็นจริง ๆ มันเย็นยะเยือก เย็นจับจิตจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดบาดตัวสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น นรกขุมนี้ไม่มีความร้อนมีแต่ความหนาว เมื่อถูกความแสบของน้ำกรดแล้วก็มีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท้วมหัวใจ ทนไม่ไหวต่างก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่ง นายนิริยบาลก็ใช้หอกแทงสวนไปบ้าง ใช้ค้อนทุบให้ลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห่ง มีน้ำ แต่ว่าเป็นน้ำกรดเย็นยะเยือก.. 


สุนขะนรก ๙. 

สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมา แต่หมาลงโทษสัตว์นรกที่นี่ เป็นนรกหมาที่หมาทีอำนาจมาก มีหมาแยะ หมาที่นี่ตัวใหญ่มาก มีหน้าที่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในนรกขุมนี้ พื้นก็เป็นเหล็กเผาแดง มีกำแพงทั้ง ๔ ก็มีไฟพวยพุ่ง จะมีสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งอยู่ในบิเวรของไฟ แล้วก็มีสัตว์ใหญ่ ๆ คือสุนัขอยู่เยอะแยะ ไล่กัดกินสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็วิ่งหนีหมา ไฟหรือก็เผา วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าสิ้นกฏของกรรม 

นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษ พวกคนที่ปากคอเลอะร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านและพระเณรเถรชีด่าไม่เลือก นินทราว่าร้ายกล่าวโทษโจษความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนต้องเลวตามนั้น เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็มก็นึกว่าชาวบ้านชอบเค็ม มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัว นี่ฉันใด คนประเภทนี้จึงได้มาลงในนรกขุมนี้ไงละ... 


ยันตปาสาณนรก ๑๐ 

ยันตปาสาณนรก นรกขุมนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะมาเจอภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันมันหมุนคล้าย ๆ กับที่หีบอ้อย เครื่องหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสะภาพคล้ายกัน หรือที่รีดปลาหมึก ใครเคยเห็นไหม? ไปดูตามซอกซอยจะเห็นบรรดารถเข็นที่เขามาขายปลาหมึกปิ้งแขวนปลาหมึกเป็นราวหลายชั้นนั้นแหละไปขอเขาดู แต่ว่าอย่าไปเทียบว่าคงเท่ากับภูเขานี้ มันเทียบกันไม่ได้ ภูเขาในนรกนี้ใหญ่โตมโหราญเขามีไว้สำหรับลงโทษสัตว์นรก นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน แหละก็เป็นเหล็กด้วย ไม่ใช่ภูเขาหิน ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบ ๆ บดเสียติดกัน 

นายนิริยบาลก็ไล่ให้บรรดาสัตว์นรกเหล่านั้นให้เข้าไประหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุนกระทบกันอยู่ตลอดเวลา บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในซอกภูเขา ภูเขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อยหรือรีดปลาหมึกย่าง ให้แบนแต๊ดแต๋ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วก็ถูกไฟเผาอีก ก็ต้องวิ่งเข้ามาทางนี้ให้ภูเขามันบี้มันบดให้อีก จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม 

นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษคนใจร้าย ขาดความเมตตาปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหมละ ใครล่ะที่ว่า ผัวฉันเมียฉันมันเป็นสิทธิ์ของฉันจะทำอะไรก็ได้ จะทุบจะตีจะด่าว่าก็ได้ เห็นไหมล่ะ เลยต้องมาลงนรกในขุมนี้ พวกที่ชอบด่าผัว ตีเมียชอบสาปแช่งชักหักกระดูก ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุผล ไม่ใช่ด่าด้วยความปรานี การด่าการว่าน่ะมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาดี กับด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือเขาเรียกว่าติเพื่อก่อ ด่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะมีนิสัยหยาบ 

คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง ถ้าคนมีนิสัยละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ว่าคนที่มีนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง ดันเข้าใจว่าเขาเกรงกลัวอำนาจแก ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าได้ตีด้วยความหวังร้าย ขาดเหตุผล แต่เขาพูดสำหรับคนที่ถือว่าตนมีอำนาจบาทใหญ่ยิ่งกว่าผัวหรือเมีย อันนี้แหละนรกนี้เขาต้องการบุคคลอย่างนี้ท่านละอยู่ในบุคลลประเภทไหน.. 

โลกันตนรก 

นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น 

ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล 


ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น 

สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า 

“ อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา” 

เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง 

ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร 


ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว 

สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โตและเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ 

ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม 


ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้ 

ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้? ” 

ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก 


แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว 

เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ 


วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พิธีรักษาอุโบสถ


พิธีรักษาอุโบสถ

อุโบสถ แปลว่า การเข้าถึง หมายถึง การเข้าไปอยู่รักษาศึล ๘ อย่างเคร่งครัด
เป็นวัตรปฏิบัติของอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธา ใคร่ฝึกพัฒนาจิตใจของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

อุโบสถมี ๓ อย่าง คือ

๑. ปกติอุโบสถ การักษาเพียงหนึ่งวันและคืนหนึ่ง

๒.ปฏิชาครอุโบสถ คือ การรักษาอย่างพิเศษ ครั้งละ ๓ วัน คือ วันรับศีล ๑ วัน
วันรักษา ๑ วัน และวันส่ง ๑ วัน

๓. ปาฏิหาริกปักขอุโบสถ คือการอยู่จำอุโบสถเป็นเวลา ๓ เดือนภายในพรรษา
หรือ ๔ เดือน ตลอดฤดูฝน เป็นอุโบสถที่กำหนดไว้ประจำแต่ละปี แต่ปัจจุบันเนื่องจากผู้จำอุโบสถ
มีกิจธุระมาก จึงไม่ค่อยมีผู้ถืออุโบสถชนิดนี้

ผู้ตั้งใจจะรักษาอุโบสถชนิดใด พึงเตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปวัดเพื่อสมาทานอุโบสถและรักษา
หรือจะเปล่งวาจาอธิษฐานอุโบสถด้วยตนเองก็ได้ว่า

" อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง
อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง สัมมะเทวะ อะภิรักขิตุง สะมาทิยามิ"

แปลว่า ข้าพเจ้าขอสมาทานอุโบสถที่พระพุทธเจ้าบัญญัตไว้
พร้อมทั้งองค์ ๘ นี้ เพื่อรักษาให้ดี มิให้ขาดให้ทำลาย ตลอดคืนนี้และวันนี้


คำอาราธนาศีล ๘

มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ

ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ

ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ

(หมายเหตุ ถ้าคนเดียว เปลี่ยน มะยัง เป็น อะหัง, ยาจามะ เป็น ยาจามิ)

นมการคาถา

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ ธังมัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ ธัมธัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

( พระท่านว่า) ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ( รับว่า) อามะ ภันเต.

คำสมาทานศีล ๘

๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๓. อะพ๎รัห๎มะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๖. วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะ-
ธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ

อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง อิมัญจะ รัตติง
อิมัญจะ ทิวะสัง สัมมะเทวะ อะภิรักขิตุง สะมาทิยามิ

(หยุดเพียงเท่านี้) ตอนนี้ พระสงฆ์จะว่า

อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อุโปสะถะวะเสนะ
มะนะสิกะริต๎วา สาธุกัง อัปปะมาเทนะ รักขิตัพพานิ ฯ
(รับพร้อมกันว่า) อามะ ภันเต (พระสงฆ์ว่าต่อ)

สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัส๎มา สีลัง วิโสธะเย ฯ
(รับพร้อมกันว่า) อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิฯ ( ๓ ครั้ง)


อุโบสถศีล ๘ ข้อ  ความหมายดังนี้

๑.เว้นจากการฆ่าสัตว์

๒.เว้นจากลักฉ้อสิ่งที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้

๓.เว้นจากประพฤติกรรมที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์

๔.เว้นจากเจรจาคำเท็จล่อลวงผู้อื่น

๕.เว้นจากดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

๖.เว้นจากบริโภคอาหาร ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์เที่ยงแล้วไปจนถึงเวลาอรุณขึ้นมาใหม่

๗.เว้นจากฟ้อนรำขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เป็นข้าศึกแก่บุญกุศลทั้งสิ้น และทัดทรงประดับตกแต่ง
ร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับเครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิวทำให้วิจิตรงดงามต่างๆ
อันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความกำหนัดยินดี

๘.เว้นจากนั่งนอนเหนือเตียงตั่งม้าที่มีเท้าสูงเกินประมาณ และที่นั่งที่นอนใหญ่ ภายในมีนุ่นและสำลี
เครื่องปูลาดที่วิจิตรด้วยเงินและทองต่างๆ


พระพุทธสุภาษิต
ตสฺมา หิ นารี จ นโร สีลวา
อฏฺฐงฺคุเปตํ อุปวสฺสุโปสถํ
ปุญญานิ กตาน สุขุทฺริยานิ
อนินฺทิตา สคฺคมุเปนฺติ ฐานํ

เพราะฉะนั้น หญิงและชายผู้มีศีล
รักษาอุโบสถ ประกอบด้วยองค์ ๘
ทำบุญอันมีสุขเป็นกำไร จึงไม่ถูกติเตียน
ย่อมเข้าถึงสถาน สวรรค์.

( พุทฺธ) องฺ. ติก. ๒๐/ ๒๗๖.

เรื่องอุโบสถกรรม

พระบรมศาสดา ทรงปรารภอุโบสถกรรมของพวกอุบาสิกา
มีนางวิสาขาเป็นต้น ในวันอุโบสถวันหนึ่ง นางวิสาขาถามบรรดา
อุบาสิกาเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายรักษาอุโบสถเพื่อประโยชน์อะไร ?
พวกอุบาสิกาแก่ตอบว่า เพื่อทิพยสมบัติ พวกอุบาสิกาปานกลาง
ตอบว่า เพื่อไม่ให้สามีมีภรรยาอื่นอีก พวกอุบาสิการุ่นตองว่า เพื่อ
ได้บุตรหัวปีเป็นชาย พวกอุบาสิกาเด็กตอบว่า เพื่อมีสามีแต่รุ่น
นางวิสาขาได้สดับถ้อยคำของอุบาสิกาเหล่านั้นแล้ว จึงพาตัวไปเฝ้า
ทูลความนั้นแด่พระศาสดาโดยลำดับ พระองค์จึงทรงแสดงธรรมมีกถา แล้วจึงตรัสพระคาถานี้

ยถา ทณฺเฑน โคปาโล
คาโว ปาเชติ โคจรํ,
เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ
อายุํ ปาเชนฺติ ปาณินํ.

คนเลี้ยงโค ย่อมต้อนฝูงโค
ไปสู่ที่หากิน ด้วยอาชญา ฉันใด
ความแก่และความตายย่อมขับต้อน
อายุของสัตว์ทั้งหลายไป ฉันนั้น.

อนันตริยกรรม

อนันตริยกรรม สารานุกรมเสรีอนันตริยกรรม หมายถึง กรรม หนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี 5 อย่าง คือ มาตุฆาต - ฆ่ามารดา ปิตุ...