วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

วัด...วัดจิตวัดใจ


วัด….วัดจิตวัดใจ

         “เข้าวัดดีกว่าเข้าวิก” เป็นคำกล่าวของตนเฒ่าคนแก่ที่หมั่นไปทำบุญสุนทรทานที่วัดอยู่เป็นประจำ แต่เด็กยุคใหม่บอกว่า เข้าวิกหรือเข้าห้างดีกว่าเข้าวัด เพราะเข้าวัดไม่สนุกต้องนั่งพับเพียบ ฟังพระเทศน์พระสวดอึดอัดน่าเบื่อ สู้ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า หรือสวนสนุกไม่ได้… มันกว่ากันเยอะเลย

         วัดในเมืองไทยมีอยู่ประมาณ ๓๐,๐๐๐ วัด ตั้งอยู่ในเมือง นอกเมือง และในชนบท บางแห่งอยู่บนภูเขาจึงต้องมีคำว่าบรรพตที่แปลว่าภูเขาต่อท้าย บางแห่งอยู่ในถ้ำก็มีคำว่าคูหาที่แปลว่าถ้ำต่อท้าย แต่ก็ไม่มีวัดที่ตั้งอยู่ในทะเล เพราะพระสงฆ์คงไม่สะดวกในการบิณฑบาต แต่ถ้ามีก็คงมีคำว่านทีที่แปลว่าน้ำต่อท้ายเป็นแน่

         ทำไมจึงต้องมีชื่อว่า “วัด…” น่าคิด เพราะคำว่าวัดเป็นคำกริยาที่ใช้ในการคำนวณหาค่าความกว้างยาวของพื้นที่ แต่นี้เป็นสถานที่อยู่ของพระสงฆ์และเป็นที่ใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา ไม่น่าจะต้องมาวัดคำนวณหาอะไรกัน เมื่อสืบค้นจากหลักฐานเอกสารสำคัญต่าง ๆ พบว่าในสมัยพุทธกาลไม่มีคำว่าวัดใช้ เขาใช้คำว่า “อาราม” “วิหาร” และ “อาวาส” แทน อารามแปลว่าสถานที่ที่ใครมาแล้วรื่นรมย์ใจ เพราะสงบเย็นด้วยธรรมชาติ วิหารและอาวาสแปลว่า ที่อยู่ ที่พำนักของพระสงฆ์ แล้วทำไมคนไทยเราจึงได้มาเปลี่ยนเป็นคำว่าวัดเสียเล่า ก็คงเป็นเพราะว่าคำว่าวัดนั้นเป็นคำไทยสั้น ๆ ที่พูดง่าย เข้าใจง่ายมีความหมายตรงตัว วัด ก็คือวัดนั้นเอง แต่ไม่ใช่วัดพื้นที่กว้างยาวของบริเวณใด แต่วัดในที่นี่หมายถึงวัดจิต วัดใจ ผู้ที่อยู่ในวัดและผู้ที่เข้าวัดทุกคนไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร ศิษย์วัด อุบาสก อุบาสิกา ว่ามีจิตใจสูงขึ้นแค่ไหน จะต้องหมั่นวัดจิตใจของตนเองอยู่เสมอ ถ้าจิตใจสูงขึ้นก็แสดงว่าไม่เสียทีที่เข้าวัด แต่ถ้ายิ่งเข้าวัดหรืออยู่วัดนาน ๆ กิเลสกลับสูงขึ้น โลภ โกรธ หลง ท่วมตัวก็คงไม่ไหวแน่ ควรแสดงสปิริตรพิจารณาตัวเองได้แล้ว

         บางคนคิดว่าการเข้าวัดเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ หรือคนสูงอายุ คนหนุ่มสาวเลยไปเข้าวิกก่อนดีกว่า รอให้แก่ก่อนแล้วจึงจะมาเข้าวัดทีหลัง บางครั้งแก่แล้วก็ยังไม่มีโอกาสเข้าเพราะมีงานที่ต้องทำต่อ หรือต้องเลี้ยงดูหลาน จึงได้มีโอกาสเข้าเพียงครั้งเดียว และครั้งสุดท้ายในชีวิต คือ เมื่อญาติเอาใส่โลง มีกระถางธูปสายสิญจ์นำหน้า แถมยังได้นอนมาด้วย แหม ! สบายจริง ๆ ได้ไปที่ชอบ… ไอ้คนเราก็แปลกเวลาอยู่เดินได้ไม่ยอมไป เวลาตายจึงได้ไปที่ชอบ…สาธุ

         ในงานศพตามวัดต่าง ๆ จะมีประเพณีอยู่อย่างหนึ่ง คือลูกหลานผู้ตายจะไปเคาะโลงเมื่อพระจะเริ่มเทศน์หรือเริ่มสวด โดยเคาะป๊อก ๆ พร้อมกับพูดว่า “คุณพ่อ, คุณแม่, คุณตา,คุณยาย เป็นต้น ลุกขึ้นฟังพระเทศน์ ลุกขึ้นฟังพระสวด” แต่ก็ไม่เห็นลุกขึ้นมาสักที ถ้าผู้ที่อยู่ในโลงเกิดเอามือดันฝาโลง ลุกขึ้นมาจริง ๆ ทุกคนในที่นั้นก็คงลุกกันหมดเหมือนกัน โดยเฉพาะคนเคาะคงไปก่อนคนอื่น” ตัวใครตัวก็ตัวใครเถิด…โธ่ ท่านนอนของท่านดี ๆ อยู่แล้วไปรบกวนท่านทำไมอีก ไม่น่าเลย… อาตมาก็เจริญพรลาเหมือนกันละโยม

         การเคาะโลงจึงเป็นการสอนให้คิดของคนโบราณว่าคนเราจะทำอะไรก็ควรทำในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว แม้จะเคาะโลงให้มือหักหรือฝาโลกพังก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาฟังเทศน์ฟังสวดได้ แม้ว่าจะได้เข้าวัดในตอนนี้ ก็ไม่สามารถวัดอะไรได้อีกแล้ว เพราะขันธ์ ๕ ไม่ทำงาน ร่างกายกลับบ้านเดิมไปสู่ธรรมชาติหมดแล้วอย่างที่ตาลปัตรพระบอกว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ทุกคนต้องเป็นเหมือนกันหมด… ดังนั้นชาวพุทธควรที่จะคิดคำนึงถึงบ้างว่า “เพียรเข้าวัดเสียตั้งแต่วันนี้ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อนันตริยกรรม

อนันตริยกรรม สารานุกรมเสรีอนันตริยกรรม หมายถึง กรรม หนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี 5 อย่าง คือ มาตุฆาต - ฆ่ามารดา ปิตุ...